ธุรกิจ

ไอ-เทล เผยผลงานไตรมาสแรก กวาดรายได้กว่า 4 พันล้านกำไรเพิ่ม 93 เปอร์เซ็นต์มุ่งการเติบโตต่อเนื่องตลอดปี 67

บริษัท ไอเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2567 มีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 821 ล้านบาท เติบโต 93 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

และยังเพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่กลับมาสู่ระดับปกติ การเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียม การปรับราคาขาย และปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก ส่งผลให้ไอ-เทลมียอดขายเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพร่วมกับกลยุทธ์การปรับราคาสินค้า ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาที่ 26 เปอร์เซ็นต์ และ 20 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ

นายพิชิต ชัยวงศ์ปิยะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หลังจากก้าวผ่านความท้าทายในปี 2566 ในที่สุดการดำเนินธุรกิจของไอ-เทล สามารถกลับมามีกำไรและยอดขายที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความพร้อมที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกเพื่อผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ในปี 2567

โดยบริษัทฯ ยังคงยึดมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดการให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง (Pet Centric) และต่อยอดธุรกิจด้วยการคว้าโอกาสสำคัญต่างๆ จากภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดว่าจะเติบโตในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป” 

“อีกทั้ง ไอ-เทลได้เดินหน้ากลยุทธ์เพื่อเร่งการเติบโตของธุรกิจร่วมกับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันควบคู่ไปกับการเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น โดยในไตรมาสที่ 1 ได้เริ่มต้นข้อตกลงทางธุรกิจเพื่อการผลิตสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงให้แก่แบรนด์ค้าปลีกชั้นนำในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเริ่มมีคำสั่งซื้อและส่งมอบสินค้าล็อตแรกในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้”

สำหรับไตรมาสแรกของปี 2567 ไอ-เทลมีสัดส่วนของยอดขายแบ่งตามภูมิภาคดังนี้ สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 45 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์และยุโรปอยู่ที่ 19 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้ง สามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าอาหารหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 75 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 13 เปอร์เซ็นต์ ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 10 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอื่นๆ อีกราว 2 เปอร์เซ็นต์

ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการตอบรับเทรนด์การดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว หรือ “Pet Humanization” ที่มาพร้อมกับการบริโภคสินค้าพรีเมียมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของไอ-เทลในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมคุณค่าทางโภชนาการที่ผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย รวมถึงการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน

และให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่ม Pet Parents ทั่วโลกที่ต้องการดูแลและส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับสัตว์เลี้ยงของพวกเขา โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 500 รายการ ในไตรมาสที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการลงทุนราว 1.3 พันล้านบาท เพื่อติดตั้งระบบการจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage & Retrieval System – ASRS) ที่โรงงานในจังหวัดสงขลา โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนในระยะยาว

ท้ายที่สุดนี้ ไอ-เทล ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาความยั่งยืนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ SeaChange® 2030 โดยได้เริ่มการติดตั้งระบบการปรับปรุงคุณภาพน้ำด้วยการกรองแบบ Ultrafiltration and Reverse Osmosis (UFRO) ที่โรงงานในจังหวัดสงขลา

ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบในจำนวน 5 โรงของกลุ่มไทยยูเนี่ยนในการนำร่องด้านกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ (best-in-class manufacturing) โดยคาดว่าการติดตั้งจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยน้ำเสียเป็นศูนย์ (zero water discharge) ให้สำเร็จภายในปี 2573

“ผมเชื่อมั่นว่าไอ-เทลจะสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในปี 2567 เพื่อตอกย้ำศักยภาพของเราในการเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของโลกที่พร้อมส่งมอบคุณค่าเชิงบวกสู่สังคมและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนไปพร้อมกันในระยะยาว” นายพิชิตชัยกล่าวทิ้งท้าย

ธุรกิจ

ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 66 เติบโต 19 เปอร์เซ็นต์ จากยอดขายและกำไร คาดอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงฟื้นตัว ดันปันผลทั้งปี 0.60 บาท/หุ้น

บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2566 มีรายได้จากยอดขายรวมที่ 4,748 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

อีกทั้งยังเติบโตเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ผลจากปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำที่เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากยอดขายรวมตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ 15,577 ล้านบาท

และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,281 ล้านบาท โดยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.35 บาทต่อหุ้น ทำให้เงินปันผลตลอดปีอยู่ที่ 0.60 บาทต่อหุ้น และเสนอจ่ายอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับดีต่อเนื่องอยู่ที่อัตรา 2.8 เปอร์เซ็นต์

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดทั้งปี 2566 ธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งเป็นผลจากแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและการระบายสินค้าคงคลังจากกลุ่มแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของไอ-เทลมีปริมาณคำสั่งซื้อจากลูกค้าลดลงตลอดช่วงครึ่งปีแรก

อย่างไรก็ตาม เรามองเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากปริมาณการสั่งซื้อจากลูกค้าที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แต่ยังคงต่ำกว่ายอดขายรวมของปี 2565 ที่สูงกว่าระดับปกติ โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง”

“แม้ว่าต้องเผชิญกับอุปสรรคและช่วงเวลาที่ท้าทายในปี 2566 สำหรับไอ-เทล ปัจจัยดังกล่าวที่เข้ามากระทบการดำเนินธุรกิจ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เราได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ในการปรับตัวได้ดีมากยิ่งขึ้น ด้วยการเร่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ปรับกระบวนการทำงานและการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รวมถึงการพัฒนาสินค้าและบริการของเราให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกและรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบ พรีเมี่ยมและรูปแบบ Humanization ในหลายภูมิภาคทั่วโลก อีกทั้ง บริษัทฯ ยังเดินหน้าศึกษาและพัฒนาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหาร (Supplement) สำหรับสัตว์เลี้ยง  โดยวางเป้าหมายการเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดภายในปี 2568”

ในปี 2566 ที่ผ่านมา ไอ-เทลได้ก่อตั้งบริษัทในเครือภายใต้ชื่อ i-Tail Europe B.V. (ITE) ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ i-Tail Pet Food (Shanghai) Limited Co. (ITS) ที่ประเทศจีน เพื่อเดินหน้ากลยุทธ์ขยายการดำเนินธุรกิจและเร่งสร้างการเติบโตสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในทวีปยุโรปและประเทศจีน อีกทั้ง บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญาทางธุรกิจร่วมกับลูกค้ารายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 31 ราย

ซึ่งรวมถึงลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ในสหรัฐฯ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังขยายการดำเนินธุรกิจสินค้า Private Label กับบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในฝรั่งเศส และมีรายได้จากคำสั่งซื้อสินค้า Private Label จากหนึ่งในบริษัทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในปี 2566

นอกจากนี้ ไอ-เทลยังยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัวศูนย์วิจัยอาหารแมว (i-Cattery) ตั้งอยู่ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขต ศาลายา ในช่วงกลางปี 2566 ด้วยความตั้งใจในการเป็นศูนย์กลางสำหรับความร่วมมือด้านการวิจัยร่วมกับภาคการศึกษา ลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และภาคส่วนต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการยอมรับในเวทีระดับโลกถึงผลิตภัณฑ์อาหารแมวของไอ-เทลที่มีคุณภาพ ปลอดภัย

รับรองด้วยมาตรฐานการวิจัยระดับสากล อีกทั้ง บริษัทฯ เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดสมุทรสาครตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ด้วยเป้าหมายการขยายกำลังการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและขนมทานเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มขึ้นอีก 18.7 เปอร์เซ็นต์ ด้วยระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มต้นการผลิตภายในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

ทั้งนี้ ยอดขายของไอ-เทลในปี 2566 มีสัดส่วนของยอดขายตามภูมิภาคดังนี้ สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 37 เปอร์เซ็นต์และยุโรปอยู่ที่ 13 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้ง สามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 15 เปอร์เซ็นต์ ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 12 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอื่นๆ อีก 3 เปอร์เซ็นต์ และได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่และสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูงออกสู่ตลาดมากกว่า 1,300 รายการ

ท้ายที่สุดนี้ ไอ-เทล ยังคงมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความยั่งยืนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ SeaChange® 2030 โดยภายในปี 2573 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการจัดซื้อวัตถุดิบในกลุ่มของเนื้อไก่ทั้งหมดจากแหล่งผลิตที่มีความรับผิดชอบ รวมถึงวัตถุดิบในกลุ่มถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลืองทั้งหมดต้องมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้อีกด้วย

“ในปี 2566 แม้ว่าไอ-เทลจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ แต่เรายังคงไม่หยุดยั้งการพัฒนาความสามารถและความเชี่ยวชาญของเราในการเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก และยังคงดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายการรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขายรวมที่ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ระหว่างปี 2566 ถึง 2568 รวมถึงการเป็นกำลังสำคัญเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายพิชิตชัยกล่าวทิ้งท้าย

การเงิน-หุ้น, ธุรกิจ

ITC รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3 ปี 2566 ยอดขายโต 23% เผยธุรกิจแข็งแกร่ง แม้เผชิญความท้าทาย

บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รายงานผลการดำเนินธุรกิจไตรมาสที่ 3 ปี 2566 โดยมีรายได้จากยอดขายรวม 3,999 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 23 เปอร์เซ็นต์ กำไรสุทธิอยู่ที่ 645 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายนของปีนี้ บริษัทฯ มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นจากทุกภูมิภาค และมีความพร้อมสำหรับการแข่งขันเพื่อคว้าโอกาสในการเติบโตอย่างเข้มแข็งในตลาดโลกต่อไป

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แม้ว่าบริษัทฯ จะต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากการสะสมของสินค้าคงคลังของลูกค้าและความต้องการสินค้าที่ชะลอตัวลงตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งส่งผลให้ปี 2566 ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับการดำเนินธุรกิจของ ITC 

อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองเห็นสัญญาณบวกจากอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่สะท้อนจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาส 3 และมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯ วางเป้าหมายในการรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยของยอดขายรวมที่ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

ระหว่างปี 2566 ถึง 2568 ด้วยการขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์หลักในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานระดับโลก การขยายการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ชั้นนำต่างๆ การตอบสนองความต้องการจากกลุ่มค้าปลีกชั้นนำที่ขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร รวมถึง การคว้าโอกาสจากความต้องการผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมที่กำลังเติบโตทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป”

“ITC ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่และสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูงถึง 921 รายการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงขยายการเติบโตภายในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสูตรซุปเปอร์พรีเมี่ยม

ภายใต้แบรนด์ “Bellotta Nutri+”ที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเพื่อส่งมอบโภชนาการและคุณประโยชน์สำหรับแมวในทุกช่วงอายุ โดยเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาทางร้านค้าชั้นนำและช่องทางออนไลน์ รวมถึง การขยายแผนการตลาดไปสู่ “Premium Mass” เพื่อสนับสนุนให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมได้มากยิ่งขึ้น”

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566  ITC มีรายได้จากยอดขายรวมที่ 10,829 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,515 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนของยอดขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้อยู่ที่ 49 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 40 เปอร์เซ็นต์และยุโรปอยู่ที่ 11 เปอร์เซ็นต์

อีกทั้ง สามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 70 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 14 เปอร์เซ็นต์ ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 12 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอื่นๆ อีก 4 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้ ITC ยังสามารถคว้ารางวัลอันทรงคุณค่าในหลากหลายสาขาจากสถาบันระดับโลก อาทิ รางวัล Best Innovation in Pet Food Manufacturer Asia 2023 รางวัล Leading Pet-Centric Company Thailand 2023 และ รางวัล Leading New Pet Food Manufacturer Asia 2023 จาก Global Business Review Magazine และ รางวัล Best Innovation in Pet Food Manufacturing Thailand 2023 จาก  International Business Magazine เป็นต้น

ท้ายที่สุดนี้ ITC ยังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกับ SeaChange® 2030 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนของกลุ่มไทยยูเนี่ยน โดยโรงงานทั้ง 2 แห่งของ ITC ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดสงขลา เป็นโรงงานต้นแบบในจำนวน 5 โรงของกลุ่มไทยยูเนี่ยนในการนำร่องด้านกระบวนการผลิตที่เป็นเลิศ (best-in-class manufacturing) อาทิ โครงการลดการปล่อยน้ำเสียเป็นศูนย์ 

(zero water discharge) ให้สำเร็จภายในปี 2573 นอกจากนี้ ทั้ง 2 โรงงานยังมีการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์เพื่อสนับสนุนการลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มไทยยูเนี่ยนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 42 เปอร์เซ็นต์ ในขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 ภายในปี 2573 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593

“ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำระดับโลก ITC ยังคงมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงสุดของเราที่พัฒนาขึ้นจากนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าของเราจากทั่วโลก รวมถึง เรายังคงเดินหน้าเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” นายพิชิตชัยกล่าวทิ้งท้าย

การเงิน-หุ้น

ITC คว้า 5 รางวัลจากเวที Global Banking & Finance Awards® 2023 ตอกย้ำศักยภาพผู้นำธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก

บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ประกาศความสำเร็จคว้า 5 รางวัลอันทรงเกียรติจากเวทีระดับสากล Global Banking & Finance Awards® 2023 โดยGlobal Banking & Finance Review นิตยสารด้านการเงินการธนาคารชั้นนำ ตอกย้ำศักยภาพผู้นำการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก

สำหรับปี 2566 นี้ ITC ได้รับรางวัลทั้งหมด 5 รางวัล จากGlobal Banking & Finance Awards® ทั้งสำหรับประเภทบุคคล ทีมงานและผลงานของบริษัท ได้แก่ นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ได้รับรางวัล Best New Pet Food Manufacturing CEO Thailand 2023 นายไชยวัฒน์ เจริญรุจิตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน ได้รับรางวัล Best New Pet Food Manufacturing CFO Thailand 2023 และทีมนักลงทุนสัมพันธ์ ได้รับรางวัลBest New IR Management Team Thailand 2023

อีกทั้ง รางวัลสำหรับผลงานที่โดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ รางวัลExcellence in Innovation – Pet Food Thailand 2023 โดยก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ยังได้รับการประกาศให้เป็น Best Pet Food Manufacturer Asia 2023 อีกด้วย

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เผยว่า การได้รับรางวัลทั้งหมดในครั้งนี้ แสดงถึงผลงานอันโดดเด่นของทีมบริหารและภาพรวมในการดำเนินธุรกิจของ ITC ที่มุ่งคิดค้นและผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย

โดยตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อทั้งสัตว์เลี้ยง คู่ค้า นักลงทุน สังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดย ITC ยังคงมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในทุกด้านของการดำเนินธุรกิจและหวังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

สังคมเศรษฐกิจ

ITC ร่วมใจเก็บขยะและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เนื่องใน “วันเก็บขยะชายหาดสากล”

 บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC สาขาสงขลา นำโดยคุณสมโชค คงรินทร์ ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล พร้อมตัวแทนพนักงานร่วมกิจกรรมเก็บขยะและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เนื่องในวันเก็บขยะชายหาดสากล (International Coastal Cleanup Day) ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นำทัพพนักงานเก็บขยะบริเวณชายหาดบ่อหูด ตำบลวัดจันทร์ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา

เพื่อกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของปัญหาขยะทะเล ที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำใต้ท้องทะเล รวมถึงเพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดีในการคัดแยกและทิ้งขยะอย่างถูกวิธีเพื่อลดปัญหาขยะในท้องทะเลและร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลได้อย่างยั่งยืนสืบไปซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 และความมุ่งมั่นที่จะสร้าง “การมีสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์”

ในปีนี้ สามารถเก็บและคัดแยกขยะได้มากกว่า 118 กิโลกรัม โดยส่วนใหญ่เป็นขยะประเภทขวดพลาสติก โฟม ถุงพลาสติก หลอดดูดน้ำ ฯลฯ ซึ่งขยะทั้งหมดที่เก็บได้จะนำส่งให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลวันจันทร์ อำเภอสทิงพระ เพื่อดำเนินการบริหารจัดการต่อไปนอกจากนี้ ITC ยังได้ร่วมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ปูม้าจำนวน 10 ล้านตัว, แม่พันธุ์เต่าและลูกเต่าจำนวน 10 ตัว ลงสู่ท้องทะเลอีกด้วย