ตลาด, ธุรกิจ

คาราบาวเปิด โครงการ Carabao Coach The Coaches ปี 4 ผนึก EFL พาโค้ชระดับโลกมาติวศาสตร์ลูกหนังให้กับโค้ชไทย เทียบเท่ามาตรฐานโลก ตอกย้ำผู้สนับสนุนคาราบาว คัพ และผู้นำด้าน Sport Marketing

คาราบาวกรุ๊ป ตอกย้ำการเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ การแข่งขันฟุตบอล คาราบาว คัพ และผู้นำด้าน Sport Marketingสานต่อโครงการ Carabao Coach the Coaches ปี 4 

ผนึกความร่วมมือกับ ฟุตบอลลีกอังกฤษ (EFL) พาโค้ชระดับโลกมาติวศาสตร์ลูกหนังให้กับโค้ชไทยอย่างเข้มข้น เพื่อเสริมสร้าง และพัฒนาทักษะการฝึกสอนให้เทียบเท่ากับมาตรฐานโลก 

ผ่านโค้ชมืออาชีพจากEnglish Football League (EFL) ประเทศอังกฤษ ต่อยอดการพัฒนานักฟุตบอลเยาวชนไทย สู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพในอนาคต  

นายกมลดิษฐ สมุทรโคจร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จากัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการ Carabao Coach the Coaches เป็นโครงการที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพความรู้ฟุตบอลให้แก่โค้ชในประเทศไทย 

ซึ่งจะได้รับหลักสูตรติวเข้มทั้งภาคปฎิบัติและภาคทฤษฎีจากโค้ช English Football League (EFL) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำไปพัฒนา ต่อยอดการสอนนักฟุตบอลระดับเยาวชนให้มีทักษะการฝึกฝนการเล่นที่ถูกต้อง พร้อมเปิดโอกาสให้ซักถามและแลกเปลี่ยนความรู้

รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ความพิเศษของโครงการนี้คือ เปิดอบรมพร้อมจัดเตรียมที่พักและอาหาร ให้กับผู้ที่เข้าอบรมฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

โดยรายชื่อผู้ฝึกสอนจาก EFL ในครั้งนี้ ล้วนเต็มไปด้วยความสามารถและประสบการณ์ที่จะนำมาถ่ายทอดให้กับผู้ฝึกสอนฟุตบอลไทย ประกอบด้วย Leroy Moore โค้ขจากสโมสร Leicester City เริ่มเข้าสู่การเป็นโค้ชจาก Pre-academy รับผิดชอบในการสรรหาเด็กๆ อายุ 7-8 ปี

เข้ามาเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของ Leicester City ล่าสุดยังได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 12 โค้ชในโปรเจค Premier League Coaching Skills and Expertise ร่วมกับ Brian Quaileyโค้ชสัญชาติอังกฤษ ผู้รับหน้าที่เป็น Foundation Phase Coach ของสโมสร Leicester City ในชุดเยาวชน U11 

ร่วมด้วย John Thompson อีกหนึ่งโค้ช จากสโมสร Leicester City เริ่มสู่การเป็นโค้ชจากการนำประสบการณ์ฟุตบอลผู้ใหญ่มาสู่เกมระดับรากหญ้าของกลุ่มเยาวชน มีโอกาสได้ปั้นนักเตะ Leicester City ก็ได้มาทาบทามให้เป็นโค้ช

และแมวมองของอคาเดมี่ทำงานกับสโมสรมามากกว่า 20 ปี และดูแลการฝึกสอนนักฟุตบอล รุ่นอายุ 5-9 ปีรับรองความเป็นโค้ชด้วย UEFA B License และ The National Talent Identification & Scouting Level 2 

พร้อมทั้งจบคอร์ส Safeguarding Children และ Michael Wright โค้ชจากแดนผู้ดี ผู้รับหน้าที่เป็น Lead Coach and Programme Manager ให้กับสโมสร Southampton รุ่นเยาวชนอายุไม่เกิน 8 และ 11 ปี

“คาราบาวกรุ๊ป ตอกย้ำการเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลคาราบาว คัพ และผู้นำด้าน Sport Marketingนำประสบการณ์ฟุตบอลระดับโลกมาสู่วงการฟุตบอลไทย 

เดินหน้าสานต่อความร่วมมือกับฟุตบอลลีกอังกฤษ ส่งผู้ฝึกสอนฟุตบอลที่มีความสามารถ และประสบการณ์จากประเทศอังกฤษมาถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเทคนิคฝึกสอนฟุตบอลให้กับผู้ฝึกสอนชาวไทยระดับเยาวชนเพื่อก้าวสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพในอนาคต” นายกมลดิษฐ กล่าว  

สำหรับรายละเอียดการอบรมในโครงการ Carabao Coach the Coaches ปีที่ 4 กำหนดจำนวนผู้เข้าอบรมทั้งสิ้น 360 คน แบ่งเป็น 6 รุ่นๆ ละ 60 คน อบรมรุ่นละ 3 วัน ณ ราชประชา ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย รุ่นที่ 1 วันที่ 29 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2567, 

รุ่นที่ 2 วันที่ 1 – 3 พฤษภาคม 2567, รุ่นที่ 3 วันที่ 3– 5 พฤษภาคม 2567, รุ่นที่ 4 วันที่ 7 – 9พฤษภาคม 2567, รุ่นที่ 5 วันที่ 9 – 11พฤษภาคม 2567 และรุ่นที่ 6 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย วันที่ 11 – 13 พฤษภาคม 2567

ตลาด, ธุรกิจ

ท็อปส์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ปลุกกำลังซื้อรับไตรมาส 2 ดึงกลยุทธ์ Winning Together ยกระดับลอยัลตี้โปรแกรม ชู 3Es สร้าง Value-engagement Campaign จับมือ 3 ครีเอเตอร์ไทยร่วมอวดผลงานบนพรีเมี่ยมสุดยูนีค

ท็อปส์ ธุรกิจกลุ่มฟู้ด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ปลุกกำลังซื้อช่วงไตรมาส 2 ดึงแคมเปญการตลาด สร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ รักษาลูกค้าฐานเดิม เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าผ่านแคมเปญสะสมแสตมป์แห่งปี แลกสนุก รับของสุดคุ้ม จากศิลปินสุดปัง

ภายใต้กลยุทธ์ “Winning Together” ชูไฮไลต์ 3E’s : Experience – Exclusivity – Extraordinary ต่อยอดสู่การสร้าง “Value-engagement Campaign มัดใจลูกค้าทุกเจน ครั้งแรกกับการดึง 3 ครีเอเตอร์คนไทยครีเอทลวดลายบนคอลเลกชันสินค้าพรีเมียมสุดพิเศษ ในแบบฉบับไม่ซ้ำใคร

ผ่านคอนเซปต์ Sustainability x Thai Culture ผสมผสานเรื่องราวของความยั่งยืนกับเอกลักษณ์ความเป็นไทย พิเศษสำหรับสมาชิก The1 เพียงช้อปครบทุก 100 บาทต่อใบเสร็จ รับ e-stamp 1 ดวง หรือรับแสตมป์เพิ่มเติมแบบจัดเต็มเพียงช้อปสินค้าที่ร่วมรายการพิเศษ สะสมง่ายๆ

ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand และ @TopsDaily_th  ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 6 สิงหาคม 2567 ที่ร้านค้าทุกฟอร์แมททุกสาขา ทั้ง ท็อปส์, ท็อปส์ เดลี่, ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ ไฟน์ ฟู้ด และท็อปส์ ออนไลน์ ตั้งเป้าดันยอดขายโตสองดิจิต รับไตรมาส 2/2567

นายจักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “จากความสำเร็จของแคมเปญสะสมแสตมป์ในปีที่ผ่านมา เราจึงไม่พลาดที่จะนำแคมเปญนี้กลับมาอีกครั้ง เพื่อนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่พิเศษกว่าเคย

ด้วยการพัฒนาแคมเปญสะสมแสตมป์ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของลูกค้าผ่านสินค้าพรีเมียมที่มีคุณค่าและดึงดูดใจ เพื่อสร้าง “Value-engagement Campaign” ด้วยแนวคิดบน 3 แกนหลักสำคัญ (3Es) ได้แก่ (E1) Experience คือ สามารถสะสมของรางวัลได้ทุกที่

ทุกเวลาที่ไหน และเมื่อไหร่ก็ได้ในทุกฟอร์แมทของท็อปส์ อีกทั้งยังสามารถสะสมแสตมป์ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ (E2) Exclusivity สร้างสรรค์สินค้าพรีเมี่ยมให้มีความเอ็กซ์คลูซีฟ โดยใช้ผลงานของครีเอเตอร์และศิลปินไทยมาต่อยอดสร้าง Soft Power 

สร้างคุณค่าและกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจและอยากเป็นเจ้าของ (E3) Extraordinary หรือ สินค้าพรีเมียมต้องคุณภาพดี คุ้มค่าสำหรับการสะสมแสตมป์เพื่อนำไปแลก เสริมความพิเศษเพิ่มเติมเมื่อสะสมแสตมป์ก็สามารถรับพอยท์ The 1 เพื่อนำไปเป็นส่วนลดสำหรับสินค้าอื่นๆ ได้ตามปกติอีกด้วย”

“ทั้งนี้ แคมเปญสแตมป์ดังกล่าว ได้ถูกคิดขึ้นภายใต้กลยุทธ์ Winning Together โดยให้ความสำคัญกับการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างห่วงโซ่ธุรกิจ ได้แก่ ลูกค้า ที่มองหาความคุ้มค่าด้านราคาและประสบการณ์ความเอ็กซ์คลูซีฟ, พาร์ทเนอร์ ที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นแบรนด์และกลไกในการขับเคลื่อนยอดขาย

ขณะที่ ท็อปส์ มุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้าเก่าด้วยลอยัลตี้โปรแกรม ควบคู่กับการขยายฐานลูกใหม่ โดยการใช้คาแรคเตอร์การ์ตูนเพื่อดึงดูดลูกค้านิวเจน นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุน ศิลปินไทย สร้างโอกาสและพื้นที่โชว์ศักยภาพด้านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ นับเป็นการสานต่อความสำเร็จจากแคมเปญสะสมแสตมป์ในปีที่ผ่านมา

ที่ช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นถึงสองดิจิตเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมถึงจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นถึง 4% อีกด้วย ตอกย้ำความสำเร็จของการเดินหน้าสู่การสร้างแคมเปญสะสมแสตมป์ในปีนี้ ให้ประสบความสำเร็จขึ้น มากขึ้นกว่าเดิม”

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของแคมเปญสะสมแสตมป์ แลกสนุก รับของสุดคุ้ม จากศิลปินสุดปัง ในปีนี้ ท็อปส์ ได้จับมือ 3 ศิลปินไทย เพื่อร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะที่ผสมผสานการออกแบบคาเรคเตอร์และลายเส้นการ์ตูน ถ่ายทอดเรื่องราวในมุมต่างๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Sustainability x Thai Culture และนำเสนอออกมาในมุมมองที่ต่างกันบนคอลเลกชันสินค้าพรีเมียมสุดพิเศษ  3 ศิลปินไทย ที่เข้าร่วมแคมเปญสะสมแสตมป์ในปีนี้ ได้แก่

1)      Painterbell นักวาดภาพประกอบรุ่นใหม่ไฟแรงเจ้าของผลงาน John Lulu and Friends ที่บอกเล่าเรื่องราวของคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนที่ร่วมมือร่วมใจกันใช้ชีวิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและเพื่อนร่วมโลก ผสมผสานกับลวดลายที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย

2)     Nui Wonderland เจ้าของนิทรรศการ Nui in Wonderland ที่มีแรงบันดาลใจในการถ่ายทอดความเป็นจริงของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ มิติ ขณะที่ผู้คนอาจหลงลืมเรื่องของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมไปได้ จึงได้สอดแทรกเอกลักษณ์ความเป็นไทย มานำเสนอร่วมกับคาแรคเตอร์ประจำตัวที่มีความยูนีค 

ด้วยการออกแบบจัดวางองค์ประกอบภาพในลักษณะเดินหน้าเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา สื่อความหมายถึงโลกที่กำลังพัฒนาไปข้างหน้า ทำให้ผู้คนต้องปรับตัวตาม ในขณะเดียวกันยังคงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมเก่าแก่อันงดงาม

3)     ARTSTORY by Autistic Thai กลุ่มศิลปินออทิสติกทั้ง 5 คน ที่ร่วมนำเสนอมุมมองที่แตกต่าง ในคอนเซ็ปต์ “The town of Galaxtica นครแห่งความหลากหลาย ผ่านฝีแปรง 5 ศิลปินออทิสติก” พร้อมประยุกต์ผลงานให้สะท้อนแนวคิดความยั่งยืน ผสานกลิ่นอายความเป็นไทยให้เข้ากับคอลเลกชันสินค้าพรีเมียมของท็อปส์อย่างลงตัว

จากข้อมูลของท็อปส์ยังพบสถิติที่น่าสนใจคือ ลูกค้าท็อปส์เป็นลูกค้าผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยคิดเป็นสัดส่วน 71.8% และผู้ชายมีสัดส่วน 28.2%  และพบว่า 75.2% ของลูกค้าอยู่ในช่วงอายุ 25 – 54 ปี อยู่ในช่วงกลุ่ม GEN X และ GEN Y สัดส่วนของลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 44% มีอาชีพเป็นพนักงานออฟฟิศ

ผลการสำรวจกลุ่มลูกค้าท้อปส์ พบว่า กว่า 39% ชื่นชอบโปรโมชั่น กว่า 25% ชื่นชอบแคมเปญการสะสมแต้มเพื่อแลกของรางวัล สะท้อนเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชื่นชอบการสะสมของพรีเมียมที่มีประโยชน์ วัสดุมีคุณภาพ สามารถใช้งานได้จริง และมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร  

“ท็อปส์ เชื่อว่าลูกค้าทุกคนจะได้สัมผัสอีกประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา กับแคมเปญสะสมแสตมป์แห่งปี ที่กลับมาเพื่อส่งมอบความคุ้มค่า สร้างสีสันให้ทุกการช้อปสนุกสนานยิ่งขึ้น โดยนอกจากลูกค้าจะได้ค้นพบประสบการณ์การช้อปปิ้งดีที่สุดทุกวัน ตามแนวคิด Every Day DISCOVERY แล้วนั้น

ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนศิลปินไทยในการสร้างสรรค์งานศิลปะเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจดีๆ ซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ท็อปส์ยังได้เตรียมโปรโมชันและดีลดีๆ ไว้อีกมากมายตลอดทั้งปี” นายจักรกฤษณ์ กล่าวทิ้งท้าย

ค้นพบความสนุกสุดคุ้มกับแคมเปญ “แลกสนุก รับของสุดคุ้ม จากศิลปินสุดปัง” สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก The1 เพียงช้อปครบทุก 100 บาทต่อใบเสร็จ รับ e-stamp 1 ดวง หรือรับแสตมป์เพิ่มเติมแบบจัดเต็มเพียงช้อปสินค้าที่ร่วมรายการ สะสมผ่านแอปพลิเคชันไลน์ @TopsThailand 

และ @TopsDaily_th ได้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 6 สิงหาคม 2567 และสามารถแลกของสะสมได้ถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2567 โดยแบ่งระยะเวลาแลกสินค้าคอลเลกชันของศิลปินเป็น 3 รอบ ได้แก่ รอบที่ 1 แลกซื้อสินค้าคอลเลกชันจากศิลปิน Painterbell ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 13 สิงหาคม 2567 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด 

รอบที่ 2 แลกซื้อสินค้าคอลเลกชันจากศิลปิน Nui Wonderland ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน – 13 สิงหาคม 2567 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด และรอบที่ 3 แลกซื้อสินค้าคอลเลกชันจากศิลปิน ARTSTORY by Autistic Thai ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม – 13 สิงหาคม 2567 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด รายละเอียดสินค้าพรีเมียมดังนี้

·         ร่มพับ 5 ตอน กัน UV เพียงสะสมแสตมป์ครบ 100 ดวง แลกซื้อในราคา 1 บาท หรือสะสมครบ 10 ดวง แลกซื้อในราคา 119 บาท

·         แก้วน้ำเก็บอุณหภูมิ เพียงสะสมแสตมป์ครบ 150 ดวง แลกซื้อในราคา 1 บาท หรือสะสมครบ 20 ดวง แลกซื้อในราคา 159 บาท

·         กระเป๋าผ้าช้อปปิ้ง เพียงสะสมแสตมป์ครบ 250 ดวง แลกซื้อในราคา 1 บาท หรือสะสมครบ 30 ดวง แลกซื้อในราคา 299 บาท

ตลาด, ธุรกิจ

Seafood from Norway ส่งโปรโมชัน “สัมผัสรสชาติอาหารทะเลนอร์เวย์ได้ทุกวัน” ที่แม็คโครทุกสาขาทั่วประเทศ จนถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2567

กลับมาอีกครั้งกับโปรโมชันยอดฮิตของเหล่าซีฟู้ดเลิฟเวอร์ที่แม็คโคร! Seafood from Norway ขนทัพอาหารทะเลคุณภาพพรีเมียมจากน้ำทะเลที่เย็นและใสสะอาดของนอร์เวย์ เตรียมมาอิ่มอร่อยกับแซลมอนจากนอร์เวย์ ฟยอร์ดเทราต์ และนอร์วีเจียนซาบะ

ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม ถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2567 นี้ โดยลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์แซลมอนจากนอร์เวย์ทั้งตัว แซลมอนจากนอร์เวย์ Trim A และ E และ/หรือ ฟยอร์ดเทราต์ (เฉพาะสาขาที่จำหน่ายเท่านั้น) รวมขั้นต่ำ 4,000 บาท ต่อหนึ่งใบเสร็จ

รับกระเป๋าเก็บความเย็น Seafood from Norway ไซส์ใหญ่ มูลค่า 350 บาท ฟรี และลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์นอร์วีเจียนซาบะครบ 850 บาท ต่อหนึ่งใบเสร็จ รับกระเป๋าเก็บความเย็น Seafood from Norway มูลค่า 250 บาท ฟรี ที่แม็คโครมากกว่า 160 สาขาทั่วประเทศ

วัตถุดิบยอดนิยมอย่างแซลมอนจากนอร์เวย์ยังคงครองใจคนไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเข้ากับอาหารทุกจานไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไทยหรือตะวันตก ส่วนฟยอร์ดเทราต์เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นจากเนื้อสัมผัสและรสชาติที่พรีเมียมไม่เหมือนปลาชนิดไหน

ในขณะที่นอร์วีเจียนซาบะ ด้วยหลายเสือที่โดดเด่น คือปลาซาบะที่เนื้อฉ่ำที่สุด เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ราคาเข้าถึงได้ และจับจากแหล่งน้ำที่ใส่ใจในความยั่งยืนในน้ำทะเลที่เย็นและใสสะอาดของนอร์เวย์             

ตลาด, ธุรกิจ

ซีพีเอฟ คว้ารางวัล Crystal Taste Award การันตีสุดยอดรสชาติระดับโลก 3 ปีซ้อน สร้างประสบการณ์ความอร่อยไร้พรมแดน

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ คว้ารางวัล ‘Crystal Taste Award’ สุดยอดรสชาติระดับโลก โดดเด่นด้วยคะแนนสูงสุด 3 ดาว ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน จากสถาบันชั้นนำของโลก International Taste Institute 

แก่ 2 ผลิตภัณฑ์ คือ ‘นักเก็ตไก่จากพืช’ แบรนด์ MEAT ZERO และ ‘ไส้กรอกไก่ ซีพี ซิกเนเจอร์’ แบรนด์ CP นอกจากนี้ ยังมี 16 ผลิตภัณฑ์คุณภาพในกลุ่มซีพีเอฟ ทั้งของสดและอาหารพร้อมรับประทาน

ที่ได้รับรางวัล ‘สุดยอดรสชาติระดับโลก ประจำปี 2024’ (Superior Taste Award 2024) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้า เพื่อสร้างสรรค์รสชาติอร่อย ถูกใจผู้บริโภค ควบคู่กับการคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ และส่งเสริมสุขภาพที่ดีสู่ผู้บริโภค

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ 2 ผลิตภัณฑ์ อย่าง นักเก็ตไก่จากพืชMEAT ZERO และไส้กรอกไก่ ซีพี ซิกเนเจอร์ ได้รับรางวัลใหญ่ Crystal Taste Award โดยสร้างความประทับต่อคณะกรรมการ

อาทิ เชฟและซอมเมลิเยร์ระดับโลก ในการตัดสินรางวัลคะแนน 3 ดาว เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ความสำเร็จครั้งนี้ตอกย้ำกระบวนการผลิตอาหารที่ได้คุณภาพ ปลอดภัย และมีมาตรฐานรสชาติดีเยี่ยม เป็นเครื่องการันตีให้แก่ซีพีเอฟ ที่สามารถรังสรรค์อาหารได้ถูกปากผู้บริโภคทั่วโลก 

สำหรับ ‘นักเก็ตไก่จากพืช’ แบรนด์ MEAT ZERO ผลิตด้วยนวัตกรรม Plant-Tec เทคนิคการสร้างเนื้อสัมผัสและรสชาติอร่อยเหมือนเนื้อสัตว์จริง ดีต่อสุขภาพ มีโปรตีนและไฟเบอร์สูง ปราศจากคอเลสเตอรอล ทางเลือกใหม่สำหรับคนรักสุขภาพ สายมังสวิรัติหรือแบบยืดหยุ่น การันตีรสชาติด้วยรางวัล Superior Taste Award ต่อเนื่อง 3ปีซ้อน

‘ไส้กรอกไก่ ซีพี ซิกเนเจอร์’ แบรนด์ CP มีส่วนผสมจากเนื้ออกไก่ รสชาติโดดเด่นด้วยเครื่องเทศธรรมชาติสูตรเฉพาะ ให้รสชาติหอมหวาน กลมกล่อม รมควันธรรมชาติด้วยไม้บีช จนได้ผิวไส้กรอกบางกรอบกำลังดี เนื้อนุ่ม เด้ง หอมกลิ่นอ่อนๆ เพิ่มอรรถรสของผู้ที่ชื่นชอบไส้กรอก และยังมีเครื่องหมายฮาลานรับประกันคุณภาพอีกด้วย

สินค้าที่ได้รางวัลยอดเยี่ยม 3 ดาว จำนวน 5 สินค้า ได้แก่ ไก่เบญจา แบรนด์ U FARM, เกี๊ยวซ่า เนื้อจากพืชแบรนด์ MEAT ZERO, เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ แบรนด์ CP, กุ้งสด จาก CP Pacific และเป็ดสดอนามัย แบรนด์ CP Selection 

ด้าน รางวัลระดับ 2 ดาว จำนวน 3 สินค้า ได้แก่ ไส้กรอกไก่ จูเนียร์ คอกเทล จาก BKP, เบอร์เกอร์ไก่สไปซี่ และนักเก็ตไก่คลาสสิก แบรนด์ CP ส่วนรางวัลระดับ 1 ดาว จำนวน 6 สินค้า ได้แก่ ไส้กรอกเนื้อวัวออสเตรเลียผสมเนื้อไก่ แบรนด์ BUCHER, เบอร์เกอร์ปลาและชีสและชีสเบอร์เกอร์เนื้อ แบรนด์ CP, เป็ดสามชั้นสไลด์และเป็ดสไลด์ชาบูกริลล์พร้อมย่าง จากแบรนด์ CP Magic Chef,ไส้กรอกไก่ จูเนียร์สไปซี่ จาก BKP

รางวัล Superior Taste Award จัดโดย International Taste Institute สถาบันที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2548 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งร่วมมือกับสมาคมอาหารและเครื่องดื่มในยุโรป 15 แห่ง เพื่อทดสอบและประเมินรสชาติผลิตภัณฑ์ที่ต้องผ่านการผลิตมาตรฐาน

มีรสชาติอร่อยกลมกล่อมจากประสาทสัมผัสทั้งห้า พิจารณาให้คะแนนจากรสชาติ กลิ่น เนื้อสัมผัส รูปลักษณ์ และความน่าดึงดูดของสินค้า โดยคณะกรรมการมืออาชีพเป็นเชฟและซอมเมลิเยร์ชื่อดัง 200 คน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยความอร่อยและมีคุณภาพ

ตลาด, ธุรกิจ, อสังหาริมทรัพย์

เซ็นทรัลพัฒนา เปิดปี 2567 อย่างแข็งแกร่ง โชว์ผลประกอบการไตรมาส 1 รายได้รวม 12,234 ล้านบาท โต 19% และกำไรสุทธิ 4,154 ล้านบาท โต 28% จากปีก่อน

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง ทำรายได้รวม 12,234 ล้านบาท โต 19% และกำไรสุทธิ 4,154 ล้านบาท โต 28% จากปีก่อน ชูความสำเร็จ เปิดโครงการมิกซ์ยูสเซ็นทรัล นครสวรรค์ พลิกโฉมยกระดับเมืองใหม่แห่งภาคกลางตอนบน

และเซ็นทรัล นครปฐม แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางนครปฐม เป็นศูนย์การค้าลำดับที่ 42 ของเซ็นทรัลพัฒนา (รวมเอสพละนาด และเมกา บางนา) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วยโมเดลธุรกิจ The Ecosystem For All พัฒนาโครงการสร้างย่านการค้ากรุงเทพฯและต่างจังหวัดทั้งเมืองหลักและเมืองรอง

นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการเงิน บัญชีและบริหารความเสี่ยงบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “การบริโภคภาคเอกชนของไทยถูกขับเคลื่อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า และมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาล

เช่น โครงการ Easy E-Receipt อีกทั้ง ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคมีแน้วโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จากการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และความชัดเจนในมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ยิ่งไปกว่านั้นการดำเนินกลยุทธ์ธุรกิจแบบผสม (Mixed-use Development) ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

มีผลประกอบการที่ดีขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญในทุกๆ กลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่พักอาศัยที่มีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า โดยไตรมาสที่ 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 12,234 ล้านบาท โต 19% และกำไรสุทธิ 4,154 ล้านบาท โต 28% จากปีก่อน”

สำหรับกิจกรรมทางธุรกิจที่สำคัญในไตรมาส 1 บริษัทฯ  ได้เปิดตัวโครงการศูนย์การค้าต่างจังหวัดอีก 2 แห่ง คือ เซ็นทรัล นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 และเซ็นทรัล นครปฐม เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2567 ภายในโครงการได้รับการออกแบบที่ผสมผสานกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น พร้อมด้วยร้านค้าชั้นนำที่ครบครันในการตอบโจทย์ทุกกิจกรรม

พร้อมทั้งได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเอสเซ็นท์ นครสวรรค์ และนครปฐม ในวันเดียวกับการเปิดตัวศูนย์การค้า โดยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานี้ การจองซื้อของทั้ง 2 โครงการ ได้รับการตอบรับดี นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวโครงการบ้านนิรดา วงแหวน-เอกชัย ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาอีกด้วย

เซ็นทรัลพัฒนา ยังคงวางแผนระยะยาวในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในแผน 5 ปีตั้งแต่ปี 2567-2571 วางแผนลงทุนทั้งสิ้น 121,000 ล้านบาท และในปี 2567 นี้ จะมีโครงการที่เปิดให้บริการใหม่ทั้งสิ้น 13 โครงการ ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครสวรรค์ และเซ็นทรัล นครปฐม

ซึ่งดำเนินการเปิดทำการเรียบร้อยแล้ว โครงการที่อยู่อาศัย 10 โครงการ และโรงแรมแห่งใหม่ที่ระยอง ซึ่งจับมือกับ International Chain ระดับโลก พร้อมทั้งเตรียมสร้างปรากฏการณ์ระดับโลก “The World’s New Magnitude” ขยายย่านการค้าและธุรกิจในกรุงเทพฯ

อีกหลายมุมเมือง เหมือนโมเดลเมืองใหญ่ทั่วโลก โดยพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสจำนวน 5 โครงการ มีพื้นที่ทุกโครงการรวมกันกว่า 2.2 ล้าน ตร.ม. และทั้งหมดนี้ อยู่บน Super Prime Locations รอบกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ และเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า แต่ละโครงการจะเป็น Flagship 

ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคต และจะเป็น Landmark ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เตรียมพบกับโครงการแรกคือ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค โครงการมิกซ์ยูสระดับโลก โดยพร้อมเปิดส่วนอาคารสำนักงานและศูนย์การค้า Central Park ในปีหน้า 2568

บริษัทฯ ตอกย้ำการเป็นองค์กรยั่งยืนระดับโลก ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สูงสุดเป็นอันดับ 1 ระดับโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Management & Development) 

จากการประกาศผล Sustainability Yearbook 2024 โดย S&P Global นับว่าเซ็นทรัลพัฒนาติดอันดับเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (DJSI World) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 

และเป็นสมาชิกของ S&P Global Sustainability Yearbook ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 สะท้อนวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all และโมเดลธุรกิจแข็งแกร่งเป็น The Ecosystem for All ดำเนินธุรกิจในบทบาท Place Maker’ ผู้พัฒนาพื้นที่ที่มากกว่าศูนย์การค้า ยกระดับคุณภาพชีวิต ดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 กองทรัสต์ CPNREIT ประสบความสำเร็จในเพิ่มทุนและต่อสัญญาโครงการเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ตามแผนเรียบร้อยแล้ว โดย CPNREIT ได้ออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนทั้งหมด 1,053 ล้านหน่วย ที่ราคาเสนอขายสุดท้าย 10.20 บาท ให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิม และประชาชนทั่วไป

ระหว่างวันที่ 23-29 เมษายน 2567 ได้รับการตอบรับและประสบความสำเร็จตามที่คาดการณ์ไว้ และได้รับเงินเพิ่มทุนทั้งสิ้น 10,741 ล้านบาท รวมกับเงินกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอีกบางส่วน นำไปลงทุนต่อสัญญาสิทธิการเช่าโครงการเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า อีก 15 ปี มูลค่าทั้งสิ้น 12,161 ล้านบาท เรียบร้อยแล้วในวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 

ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 เซ็นทรัลพัฒนา มีศูนย์การค้าภายใต้การบริหารงานทั้งหมด 42 โครงการ (ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 42 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 16 โครงการ ต่างจังหวัด 23 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการศูนย์การค้าเอสพละนาด 1 แห่ง และศูนย์การค้าเมกา บางนา

ภายใต้กิจการร่วมค้าอีก 1 แห่ง) คอมมูนิตี้ มอลล์ 17 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 2.3 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 35 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 9 แห่ง โครงการที่พักอาศัย 36 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT,

ESCENT  VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN (ทาวน์โฮม) ESCENT AVENUE (โฮมออฟฟิศ) NINYA (บ้านแฝด) NIYAM (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการแนวราบหลากหลายรูปแบบภายใต้แบรนด์ NIRATI และ BAAN NIRATI

ตลาด, ธุรกิจ

เซ็นทรัล รีเทล ปิดไตรมาส 1 กวาดรายได้ 67,255 ล้านบาท โต 6% พร้อมเร่งเครื่องขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC กล่าวว่า “เซ็นทรัล รีเทล เปิดปีโตต่อเนื่อง ด้วยผลประกอบการในไตรมาสแรก มีรายได้อยู่ที่ 67,255 ล้านบาท (+6% YoY) และกำไรสุทธิหลัก (Core Profit) 2,524 ล้านบาท (+14% YoY)

ในส่วนของยอดขายผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชแนลมีสัดส่วนอยู่ที่ 19% ซึ่งการเติบโตดังกล่าว มาจากการมีอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่งและพอร์ตฟอลิโอที่มีความยืดหยุ่นของเซ็นทรัล รีเทล” สำหรับไฮไลท์ธุรกิจในเครือของเซ็นทรัล รีเทล มีดังนี้

1. กลุ่มแฟชั่น

• ห้างเซ็นทรัล ชิดลม “The Store of Bangkok” ได้พลิกโฉมใหม่ ด้วยงบลงทุนกว่า 4 พันล้านบาท เพื่อยกระดับสู่การเป็น World Class Luxury Destination ในรูปแบบ One-Stop-Shopping ที่รวบรวมแบรนด์สินค้าลักชัวรี่ที่ครองใจลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลก

อาทิ Bottega Veneta, Burberry, Celine, Dolce & Gabbana, Emilio Pucci, Kenzo, Loewe, Louis Vuitton, Missoni, Roger Vivier และ Versace โดยจัดงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Luxe Night Out” เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา ต้อนรับเหล่าคนดังในวงการแฟชั่นทั่วประเทศที่เดินทางมาร่วมงานอย่างคับคั่ง

โดยมีไฮไลท์สำคัญอย่าง “Shoes Avenue” ที่รวบรวมแบรนด์รองเท้าชั้นนำไว้ในที่เดียว เป็นครั้งแรกของไทย อาทิ Christian Louboutin, Gucci, Jimmy Choo, Mach & Mach, Rene Caovilla, Sergio Rossi, The Attico, TOD’S, Tom Ford และ Tory Burch

•        CMG (เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป) หนึ่งในธุรกิจภายใต้กลุ่ม Central Brand & Specialty ได้รับสิทธิ์เป็นผู้จัดจำหน่าย Paul Smith แบรนด์แฟชั่นลักชูรี่ระดับไอคอนิคจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเตรียมเปิด Flagship Store แห่งใหม่ที่ศูนย์การค้า Central Embassy โดยภายในงานเปิดตัวยังได้รับเกียรติจาก Sir Paul Smith ผู้ก่อตั้งแบรนด์มาร่วมงานอีกด้วย

นอกจากนี้ CMG ยังได้รับสิทธิ์เป็นผู้จัดจำหน่าย Jung Saem Mool (จองแซมมุน) แบรนด์จากเมกอัพอาร์ทิสต์ชื่อดังของประเทศเกาหลี พร้อมเดินหน้านำแบรนด์ระดับโลกที่ได้รับความนิยมเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตฟอลิโออย่างต่อเนื่อง

2. กลุ่ม B2B / B2C

•         GO Wholesale หลังจากเปิดตัวมา 7 เดือน ได้ลุยเปิดไปแล้วทั้งสิ้น 7 สาขา โดยโชว์ความโดดเด่นในด้านการเป็น King of Fresh ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทุกกลุ่ม ด้วยจุดแข็งของ GO Wholesale ที่เข้าใจทุกความต้องการของลูกค้าทั้งด้านสินค้าที่สดใหม่ บริการพิเศษ และความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย พร้อมเร่งเครื่องเปิดเพิ่มอีก 4 สาขาในครึ่งปีหลัง ทำให้เตรียมปิดปีด้วยจำนวน 11 สาขาทั่วไทย

•         ไทวัสดุ ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ทางด้าน Omnichannel DIY Home Retailer ของประเทศไทย พร้อมปูพรมสู่ 100 สาขาทั่วไทย โดยในปีนี้เตรียมเร่งเครื่องขยายไทวัสดุอีก 9 สาขา และปรับโฉมใหม่ Flagship Store สาขาบางนาและสาขาบางบัวทอง

ด้วยการอัพเกรดขึ้นมาเป็นรูปแบบไฮบริดสโตร์ ที่รวมจุดแข็งของทั้งไทวัสดุและบีเอ็นบี โฮม เข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว เพื่อตอบโจทย์เรื่องงานช่างและเรื่องบ้านอย่างครบวงจร นอกจากนี้สินค้า Private Label ของไทวัสดุยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีสัดส่วนเป็น 18% ของสินค้าทั้งหมดที่จำหน่ายในไทวัสดุ

3. ประเทศเวียดนาม

•         ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ในเรื่องของศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยเตรียมเดินหน้าขยายสาขาทั้งศูนย์การค้า GO! และ ไฮเปอร์มาร์เก็ต GO! อีก 3 สาขาในปีนี้ พร้อมทั้งเตรียมรีโนเวทสาขา Flagship Store ที่ฮานอยและโฮจิมินห์ ซึ่งจะเสร็จสิ้นภายในปี 2568 ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมาเซ็นทรัล รีเทล ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการรีโนเวทศูนย์การค้า GO! 8 สาขา ทำให้มีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 12%

•         นอกจากนี้เซ็นทรัล รีเทล ยังได้เข้าไปขยายธุรกิจในกลุ่มไลฟ์สไตล์และแฟชั่น โดยได้รับความไว้วางใจให้เป็น Brand Distributor ให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ Dyson, Crocs และ FitFlop เพื่อตอบสนองกลุ่มไลฟ์สไตล์ กลุ่มคนมีกำลังซื้อสูง คนรุ่นใหม่ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในประเทศเวียดนาม

สโตร์ Fitflop ที่ประเทศเวียดนาม

“ความสำเร็จทั้งหมดนี้มาจากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของเซ็นทรัล รีเทล ที่ได้วางไว้บนคอนเซ็ปต์ Leading Excellence and Advancing Sustainability คือ การเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง ที่มีผลประกอบการและผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม (Leading Excellence)

ในทุกกลุ่มธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล รวมทั้งมีการต่อยอดเรื่องการสร้างความยั่งยืนให้เข้มข้นไปอีกขั้น (Advancing Sustainability) ทั้งนี้เราจะยังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในเครืออย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มของเราทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี” นายญนน์ กล่าวปิดท้าย

ตลาด, ธุรกิจ

CHARLES & KEITH ถ่ายทอดแก่นแท้ของความสุขในฤดูร้อน ผ่านคอลเลคชั่น SUMMER 2024

ในคอลเลคชั่น SUMMER 2024 ของชาร์ลส แอนด์ คีธ (CHARLES & KEITH) จะพาทุกคนเดินทางไปสำรวจผิวสัมผัส และสีสันของแสงแดดอันสดใสในฤดูร้อน พร้อมกับการสร้างแรงบันดาลใจของความรู้สึกในการผจญภัย และปลดปล่อยอารมณ์ไปกับผืนทะเล และท้องฟ้าสีครามตัดกับผนังปูนเปลือยที่เป็นฉากหลัง สื่อถึงจิตวิญญาณ จุดหมายปลายทางในฤดูร้อนที่มีชีวิตชีวา

ในคอลเลคชั่น SUMMER 2024 นี้ของชาร์ลส แอนด์ คีธ มาในชื่อว่า ‘Toni collection’ ซึ่งจะได้นำเสนอความสนุกสนานอย่างมีรสนิยม รวมถึงการได้รับแรงบันดาลใจจากงานอดิเรกของฤดูกาลภายใต้แสงแดดอันร้อนแรง และสำหรับไฮไลท์ในคอลเลคชั่นนี้คือความโดดเด่นของส้นรองเท้าที่โค้งมน มันวาว รวมถึงรายละเอียดการผูกปมแบบหนา ๆ ทั่วทั้งกระเป๋า และรองเท้า ผลงานเหล่านี้ใช้ผ้าเจอร์ซี่ที่มีความยืดหยุ่น ชวนให้คิดถึงชุดว่ายน้ำผ้านีโอพรีน พร้อมนำเสนอมาในสีส้มสดใส และสีครีมที่เติมความสดชื่นเข้าไป

และไม่ต้องสงสัยเลยว่า Toni Knotted Curved Hobo Bag หรือกระเป๋าโฮโบทรงโค้งรุ่น Toni มีเอกลักษณ์ และดึงดูดสายตาด้วยดีเทลการผูกปมบนสายสะพายทำให้กลายมาเป็นไอเทมหลักของคอลเลคชั่นนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระเป๋าใบนี้ได้ถูกเซเลบริตี้ชื่อดังเลือกถือ อาทิ ฮันโซฮี (Han So Hee) โจอีฮยอน (Cho Yi Hyun) เอมี ซุน (Aimee Sun Yun Yun) 

และแคร์รี่ หว่อง (Carrie Wong) โดยถูกออกแบบมาเพื่อหญิงสาวที่ชื่นชอบการเดินทาง สามารถจุของได้จำนวนมาก และในขณะเดียวกันก็สามารถให้ความรู้สึกผ่อนคลายแต่ก็เก๋ไก๋ไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับคู่กับรองเท้า Toni Puffy-Strap Thong Sandals หรือรองเท้าแตะหนีบดีไซน์สายคาดบุนวมรุ่น Toni ที่มาพร้อมรายละเอียดส้นรองเท้าทรงเฉียงที่สะดุดตา

Charles and Keith_SUMMER 2024_001.png

นอกจากนี้ยังมี Toni Knotted Ruched Bag หรือกระเป๋าสะพายไม่มีทรงรุ่น Toni ที่เปรียบเสมือนเพื่อนคู่ใจที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการชมพระอาทิตย์ตกบนชายหาด หรือออกไปเที่ยวกลางคืนในเมืองระหว่างการพักร้อนในวันหยุด โดยสามารถแมตช์คู่กับ Toni Tubular Tie-Around Sandals 

หรือรองเท้าแตะดีไซน์สายคาดทรงโค้งแบบผูกเชือกรอบด้านรุ่น Toni สำหรับลุคลำลอง หรือจะแมตช์กับ  Toni Puffy-Strap Crossover Platform Mules หรือรองเท้าส้นสูงเสริมแพลตฟอร์มดีไซน์สายคาดบุนวมแบบไขว้รุ่น Toni เพื่อความหรูหรายิ่งขึ้น

สามารถช้อปคอลเลคชั่น SUMMER 2024 ของ CHARLES & KEITH ได้แล้ววันนี้เฉพาะสาขา CENTRAL WORLD, SIAM CENTER, TERMINAL 21 ASOK และในช่องทางออนไลน์  WWW.CHARLESKEITH.CO.TH

ตลาด, ธุรกิจ

“CPS CHAPS x BODYSLAM” ปรากฏการณ์ผนึก DNA ความร็อคระหว่างแฟชั่นและดนตรี


image.png

CPS CHAPS (ซีพีเอส แชปส์) แบรนด์แฟชั่นสุดเท่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “CREATIVITY. PASSION. SELF.” ร่วมฉลองการกลับมาของคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 4 ปี ของ BODYSLAM ศิลปินวงร็อคระดับตำนานที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ กับผลงานคอลลาบอเรชั่นล่าสุด “CPS CHAPS x BODYSLAM” การทำงานร่วมกันอีกครั้งของแบรนด์  CPS CHAPS และวง BODYSLAM ที่เคยสร้างปรากฏการณ์เขย่าวงการแฟชั่นและวงการดนตรี

ด้วยการผนึก DNA ความร็อคระหว่างแฟชั่นและดนตรีเข้าด้วยกันอย่างลงตัว โดยงานครั้งนี้เป็นการหยิบ 3 ผลงานเพลงจากอัลบั้มใหม่ล่าสุด Sunny Side Up ได้แก่ เหว วันสิ้นปี ปรากฏการณ์ผีเสื้อ และ 3 หน้าปกอัลบั้ม Save My Life คราม วิชาตัวเบา  มาดีไซน์ใหม่ลงบน Graphic T-Shirt ทั้ง 10 แบบ พร้อมถ่ายทอดความเท่ตามแบบฉบับของ CPS CHAPS ด้วยเทคนิกการพิมพ์ การฟอก กับแพทเทิร์นเสื้อยืดแขนสั้นและแขนกุดในโทนสีดำ-ขาว เพื่อดึงสไตล์ความเป็นร็อคเกอร์อย่างชัดเจน

สำหรับดีไซน์จาก 3 ผลงานเพลงในอัลบั้มล่าสุด Sunny Side Up ทางแบรนด์ได้หยิบมาตีความใหม่และออกแบบผ่านงานกราฟฟิกและภาพวาด ถ่ายทอด DNA ความร็อคจากบทเพลงสู่แฟชั่น ได้แก่ 1)เหว นำเอาตุ๊กตาหมี ตัวเอกของ MV ซึ่งดีไซน์เป็น 5 คาแรกเตอร์ของทั้ง 5 สมาชิก ที่มีความน่ารัก มาเติมความร็อคตามสไตล์ BODYSLAM  2) วันสิ้นปี ไอเดียจากการตีความเรื่องของการจุดพลุ ที่สื่อถึงการทิ้งเรื่องราวเก่าๆ เพื่อเริ่มต้นวันใหม่ในคืนส่งท้ายปี

โดยนำเอาลายเส้นจากแสงของพลุที่ค่อนข้างมีความ Abstract และคาดเดาไม่ได้มาดีไซน์ลงบนเสื้อยืด 3) ปรากฏการณ์ผีเสื้อ ลายเส้นการวาดแนว Abstract นำมาผสานเข้าด้วยกันให้ออกมาเป็นรูปผีเสื้อ กลิ่นอายของ Butterfly Effect ให้อารมณ์และความรู้สึกที่นึกถึงการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของชีวิต ทำให้ผลงานดีไซน์ที่ออกมามีความเป็นศิลปะและสอดคล้องกับความหมายของเพลงได้เป็นอย่างดี

นอกจากการนำเอาผลงานเพลงมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบแล้ว ทาง CPS CHAPS ยังได้หยิบเอาดีไซน์หน้าปกจาก 3 อัลบั้มยอดนิยมมาถ่ายทอดลงบนเสื้อยืดใหม่ ได้แก่ 1)Save My Life กับความตั้งใจที่จะทำให้เสื้อยืดออกมาในรูปแบบของเสื้อวงร็อคทัวร์ซึ่งเป็นยุคแห่งดนตรี Emo Core และมีส่วนผสมของวงการดนตรีในยุคนั้นด้วย

อาทิ ดีไซน์ด้านหน้าบริเวณอกได้มีการดีไซน์ลายเส้นสีฟ้าน้ำทะเลเขียนเป็นคำว่า CPS CHAPS และสกรีนทับด้วยชื่อวงและชื่ออัลบั้ม และด้านหลังจะเป็นรายชื่อผลงานเพลงทั้งหมดในอัลบั้มนี้ เพิ่มความเท่ไม่ซ้ำใครด้วยสกรีนด้วยฟอนต์ลายมือ 2) คราม นำ “นก” ที่เป็นสัญลักษณ์จากปกอัลบั้มคราม มาดีไซน์ใหม่โดยการปรับแต่งรูปทรงของตัวนก

พร้อมใส่เอฟเฟกต์สีส้มแดงด้านหลังให้ดูมีความทันสมัยและแฟชั่นมากขึ้น 3) วิชาตัวเบา ด้วยความที่อัลบั้มนี้มีความเป็นศิลปะค่อนข้างมาก ทางแบรนด์จึงได้ไอเดียในเรื่องของการสลัดสีที่หลากหลายลงบนเสื้อ เพื่อให้เสื้อยืดแขนกุดดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

และอีกหนึ่งดีไซน์พิเศษที่ทาง CPS CHAPS ได้ออกแบบในคอลลาบอเรชั่นครั้งนี้ คือการนำเอาสนามราชมังคลากีฬาสถานซึ่งเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตและเป็นสถานที่ที่ทั้ง 5 สมาชิกวง BODYSLAM มีความทรงจำและประสบการณ์กับการเล่นดนตรีครั้งยิ่งใหญ่สุดประทับใจร่วมกัน ทางแบรนด์จึงได้นำเอาสถานที่แห่งนี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการดีไซน์ผ่านรูปแบบภาพสเก็ต เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำระหว่างศิลปินและแฟนๆ ทุกคนที่เคยได้ไปร่วมเสพบรรยากาศความสนุกของคอนเสิร์ตในครั้งนั้นด้วยกัน

เตรียมลุคสุดร็อคในคอลลาบอเรชั่น “CPS CHAPS x BODYSLAM” กันได้ที่ร้าน CPS CHAPS ทุกสาขา และช่องทางออนไลน์ www.cpschaps.com ก่อนไปปลดปล่อยความมันส์ กระโดดกันให้สุดในคอนเสิร์ต EVERYBODYSLAM 2024 THE SUNNY SIDE UP

ตลาด, ธุรกิจ

โค้งสุดท้ายก่อนเปิดเทอม! 13 พฤษภาคมนี้ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จับมือ ‘เมเจอร์-เอส เอฟ’ ส่งดีลเด็ด ดูหนังราคาเดียว 39 บาท ทุกรอบทุกที่นั่งตลอดทั้งวัน

ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จัดหนักจัดเต็มเอาใจสาย Movie Lover รับโค้งสุดท้ายก่อนเปิดเทอม จับมือ 2 พาร์ทเนอร์ชั้นนำ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (Major Cineplex) และ เอส เอฟ ซีเนม่า (SF Cinema) เปิดโปรโมชันเด็ดสุดคุ้มกับตั๋วดูหนังราคา 39 บาท ทุกรอบทุกที่นั่งตลอดทั้งวัน พิเศษ! เฉพาะวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2567 วันเดียวเท่านั้น

รีบเคลียร์คิวให้ว่างแล้วไปดูหนังให้ฟินฉ่ำไปด้วยกันที่โรงภาพยนตร์เครือเมเจอร์ ซีนิเพล็กซ์ และ เอส เอฟ ซีเนม่า ณ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ 6 สาขา ได้แก่ สาขาบ่อวิน, สาขาบ้านฉาง, สาขาถลาง, สาขาลาดกระบัง, สาขาราชพฤกษ์ และสาขาฉลอง

ติดตามข้อมูลข่าวสาร โปรโมชัน และกิจกรรมใหม่ ๆ ของศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ผ่านทางFacebook Page: Robinson Lifestyle (https://www.facebook.com/RobinsonLifestyleMall)

ตลาด, ธุรกิจ

เซ็นทรัลพัฒนาจับมือน้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ เดินหน้าโครงการ “คืนชีวิตให้ขวดพลาสติก” ปีที่ 2

POCK

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) จับมือ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ และน้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ สานต่อความร่วมมือโครงการ “คืนชีวิตให้ขวดพลาสติก” ปีที่ 2 ตั้งจุดรับขวดน้ำดื่มพลาสติก (PET) ส่งเสริมการหมุนเวียนขวดพลาสติกมาผลิตใช้ใหม่ในวงกว้าง

นอกจากนี้ เซ็นทรัล ฟู้ดพาร์ค ยังจำหน่ายน้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ขนาด 500 มล. และ 750 มล. ในขวด rPET (Recycled Polyethylene Terephthalate) ซึ่งผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล ณ เซ็นทรัล ฟู้ดพาร์ค 39 สาขาที่ร่วมโครงการทั่วประเทศ พร้อมส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

และร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับการคืนชีวิตให้ขวดพลาสติกผ่าน 3 ขั้นตอนง่าย ๆ บิด ปิด ทิ้ง พร้อมทั้งชวนผู้บริโภคแยกขวด PET ทิ้งหลังดื่ม เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี สนับสนุนเป้าหมายของเนสท์เล่ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050  

ความสำเร็จในปี 2023 ที่ผ่านมา โครงการ “คืนชีวิตให้ขวดพลาสติก” สามารถรวบรวมขวด PET เพื่อนำไปรีไซเคิลได้มากกว่า 88 ตัน ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 22 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 2,231 ต้นในหนึ่งปี

อีกทั้งความร่วมมือในครั้งนี้ยังสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของภาครัฐ ด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและลดปริมาณขยะฝังกลบ พร้อมจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ผู้บริโภคชาวไทยให้บิดขวดน้ำดื่มก่อนทิ้งลงถังรีไซเคิล ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บมากขึ้น 5 เท่า ได้จำนวนขวดต่อถังเพิ่มขึ้น

และลดขยะขวดพลาสติก ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพความจุ เพื่อคืนชีวิตให้ขวดพลาสติกกลับมาเป็นขวด rPET ใหม่ โดยโครงการปีที่สองนี้ตั้งเป้าในการนำขวดน้ำดื่มพลาสติกไปรีไซเคิลได้ 30 ตัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 40% ด้วยการเพิ่มจุดรับขวดน้ำดื่ม และแคมเปญสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในวงกว้าง
 
นางภัทรา ทรัพยะประภา 
ผู้บริหารสายงานธุรกิจศูนย์อาหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เซ็นทรัลพัฒนา ดำเนินธุรกิจโดยใส่ใจสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นในการเป็นศูนย์การค้าสีเขียวด้วยมาตรการด้านการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม

และมีแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนใน 3 มิติ คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักการที่สามารถสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับผู้บริโภค ชุมชนและสังคม เราจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับเนสท์เล่ในการทำโครงการ “คืนชีวิตให้ขวดพลาสติก” เป็นปีที่ 2

เพื่อสร้างความตระหนักและส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้าที่มาชอปปิ้ง และใช้บริการที่ศูนย์อาหารของเรา ซึ่งโครงการนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของเราที่มีการบริหารจัดการด้านการลดขยะที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการปรับปรุงกระบวนการและวิธีการคัดแยกจนถึงวิธีการกำจัดขยะ”  

นางสาวนาริฐา วิบูลยเสข ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา เราเห็นได้ว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการคัดแยกขวดน้ำดื่มอย่างถูกวิธี เราสามารถนำขวดพลาสติกเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้มากขึ้น

การต่อยอดโครงการในปีนี้ นอกจากความร่วมมือของเซ็นทรัลพัฒนาในการตั้งจุดเพื่อรับคืนขวดที่ศูนย์อาหารในเครือกว่า 39 แห่ง ทางเนสท์เล่เราได้วางจำหน่ายน้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ในบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ขวด rPET ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล

มาผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ได้อีกไม่จำกัดครั้ง ปิดเส้นทางขยะพลาสติกสู่หลุมฝังกลบ เป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และเป็นการสนับสนุนแนวทางด้านความยั่งยืนของเนสท์เล่ ประเทศไทย ในการลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ลง 1 ใน 3 ภายในปี 2025

และก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ต่อไป จึงอยากเชิญชวนทุกคนนำขวดน้ำพลาสติกที่ดื่มแล้ว บิดแล้วนำมาหย่อนลงจุดรับขวดน้ำดื่มพลาสติก (PET) ที่ตั้งอยู่ในเซ็นทรัลฟู้ดปาร์ค เพื่อส่งเสริมการ รีไซเคิลแบบครบวงจร และโลกที่ยั่งยืนกันนะคะ”

เนสท์เล่ และ เซ็นทรัลพัฒนา ได้จัดกิจกรรม “คืนชีวิตให้ขวดพลาสติกปี 2” ที่บริเวณชั้น 2 ฟู้ดวิลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์วิลล์ จัดเต็มทั้งบูทกิจกรรมส่งเสริมความรู้มากมาย และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเซ็นทรัลพัฒนา

และเนสท์เล่ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม จากความพยายามในการลดขยะ และนำขวดพลาสติกกลับเข้าสู่วงจรการรีไซเคิล รวมไปถึงส่งเสริมให้ผู้บริโภครู้ถึงวิธีการคัดแยกและรีไซเคิลขวด PET อย่างถูกวิธี เพื่อสร้างพฤติกรรมรักษ์โลกอย่างยั่งยืนต่อไป