MOTOR

CHANGAN เปิดบ้านนครฉงชิ่ง โชว์เทคโนโลยีล้ำสมัย ให้กับ “บอร์ดทีทีบี”

CHANGAN เปิดอาณาจักรต้อนรับคณะกรรมการธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTBเข้าเยี่ยมชมโรงงาน และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการผลิตรถยนตร์ไฟฟ้า ณ นครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมเปิดศูนย์วิจัย

และพัฒนาให้เห็นสายการผลิตที่ได้มาตรฐานและการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อใช้ในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เผยให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความแข็งแกร่งของแบรนด์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจของลูกค้า พร้อมทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้าของ CHANGAN อีกด้วย

นายหวัง จุน ประธานบริษัท CHANGANAutomobile และคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท CHANGAN Automobile ให้การต้อนรับคณะกรรมการของ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ในการเข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของ CHANGAN ซึ่งนำโดย ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการ

และอธิบดีกรมสรรพสามิตแห่งประเทศไทย และนายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือได้ว่า TTB เป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อรถยนต์ของประเทศไทย ในการเปิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลก ณ ขณะนี้

ในโอกาสนี้ ทางคณะกรรมการของ TTB ได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยและพัฒนาของบริษัท CHANGANและยังได้ทดลองขับรถยนต์ไฟฟ้า ที่บริษัทฯ มีจำหน่ายในประเทศไทย ประกอบด้วยรุ่น DEEPAL L07 และ DEEPAL S07 รวมถึงรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยเร็วๆนี้ อาทิ รุ่นAVATR 11

ปัจจุบันบริษัท CHANGAN Automobile ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และระบบขับขี่อัจฉริยะ โดยมีพนักงานกว่า 72,000 คน ทั่วโลก และยังสร้างงานมากกว่า 1 ล้านตำแหน่งในห่วงโซ่อุตสาหกรรมยายนต์ และมีตัวแทนจำหน่ายกว่า 9,000 แห่ง, มีพนักงานพนักงานบริการเกือบ 120,000 คน และมีศูนย์บริการมากกว่า 9,000 แห่งทั่วโลก

ตลอดเวลา CHANGAN มีเครือข่ายศูนย์วิจัยและพัฒนาระดับโลกใน 6 ประเทศ มากกว่า 10 ศูนย์ ที่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีตลอด 24 ชั่วโมงพร้อมทีมงานกว่า 18,000 คน จาก 30 ประเทศ 

CHANGAN ยังเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีน ที่ได้ประกาศลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยเงินลงทุน 8,800 ล้านบาท เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา และมีเป้าหมายเพื่อส่งออกไปยังตลาดอาเซียนทั้งหมด และตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลก

 

MOTOR

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เดินหน้าการแข่งขัน BMW Golf Cup 2024 รอบคัดเลือก เฟ้นหาตัวแทนนักกอล์ฟสมัครเล่นจากประเทศไทย ชิงแชมป์ระดับประเทศสู่ระดับโลก จัดเต็มพร้อมรางวัลโฮล-อิน-วันสุดพิเศษ

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จัดการแข่งขัน BMW Golf Cup 2024 รายการแข่งขันกอล์ฟสำหรับนักกอล์ฟสมัครเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก รอบคัดเลือก ณ สนามกอล์ฟนิกันติ จังหวัดนครปฐม โดยมีนักกอล์ฟสมัครเล่นรวมประมาณ 2,800 ท่านทั่วประเทศเข้าร่วมแข่งขัน

เพื่อเป็นหนึ่งใน 120 ท่านที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ โดยจะคัดเลือกเพียง 3 ท่านที่จะเป็นตัวแทนบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย
ในการเข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับโลก ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมของปี 2025

สำหรับรายการ BMW Golf Cup 2024 รอบคัดเลือก จัดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2024 รวม 20 ทัวร์นาเมนต์ ในหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย ซึ่งรวมถึงอุบลราชธานี อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา พิษณุโลก เชียงใหม่ สุราษฎธานี สงขลา ภูเก็ต พัทยา และนครปฐม

ทั้งนี้ ยังคงเหลืออีก 9 รายการ ที่จังหวัดกรุงเทพฯ โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 24 พฤษภาคม 2024 นี้ และนักกอล์ฟสมัครเล่นที่สามารถคว้าโฮล-อิน-วัน จะได้รับรางวัลพิเศษ* ประกอบด้วย:

  • ทริปสุดพิเศษสำหรับ 2 ท่าน ไปร่วมกิจกรรม Driving Experience ณ ประเทศเกาหลีใต้ ในปี 2025** สำหรับนักกอล์ฟที่ทำโฮล-อิน-วัน หลุมที่ 2 สนับสนุนโดยบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย
  • ลำโพง Bowers & Wilkins รุ่น Formation Duo พร้อมขาตั้ง สำหรับนักกอล์ฟที่ทำโฮล-อิน-วัน หลุมที่ 8 เป็นท่านแรกของการแข่งขัน สนับสนุนโดยโบเวอร์ แอนด์ วิลกินส์ (Bowers & Wilkins)
  • ชุดเหล็ก T-Series 1 ชุด พร้อมถุงกอล์ฟ สำหรับนักกอล์ฟทำโฮล-อิน-วัน หลุมที่ 14 เป็นท่านแรกของการแข่งขัน สนับสนุนโดยไทเทิลลิสท์ แบรนด์ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์กอล์ฟและอุปกรณ์เสริมระดับโลก
  • นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ Luxury Golf Watch รุ่น MARQ Golfer สำหรับนักกอล์ฟทำโฮล-อิน-วัน หลุมที่ 16 เป็นท่านแรกของการแข่งขัน สนับสนุนโดยการ์มิน (GARMIN) แบรนด์นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ชั้นนำ

นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยูยังคงเดินหน้าเชิญชวนผู้สมัครเข้าร่วมสมทบทุนเพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการแข่งขัน BMW Golf Cup 2024 จะถูกนำไปสมทบทุนให้แก่มูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ร่วมเป็นกำลังใจให้นักกอล์ฟมือสมัครเล่นบนเส้นทางสู่รอบชิงชนะเลิศ พร้อมรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแข่งขัน BMW Golf Cup 2024 ได้ที่เว็บไซต์ www.bmw.co.th

MOTOR

ผลการแข่งขันกอล์ฟ Mazda AJGA Thailand Junior Championship สนามแรกเยาวชนไทยควงจีนซิวแชมป์คว้าตั๋วไปอเมริกา

การแข่งขันกอล์ฟเยาวชนทัวร์นาเม้นต์ระดับโลก MAZDA AJGA THAILAND JUNIOR CHAMPIONSHIP 2024 เดินทางมาถึงวันสุดท้ายของการแข่งขัน เยาวชนทุกคนต่างมุ่งมั่นตั้งใจทำผลงานให้ออกมาดีที่สุด ผลัดกันขึ้นนำตั้งแต่วันแรกต้องลุ้นกันตลอด 3 วันของการแข่งขัน ประเภทเยาวชนหญิงและชายต่างขับเคี้ยวกันสุดมัน ท้ายที่สุดสาวน้อยจากไทยแลนด์ได้สร้างประวัติศาสตร์

ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม วันสุดท้ายตีเข้ามาเพิ่ม 2 อันเดอร์พาร์ คว้าแชมป์ประเภทเยาวชนหญิงไปครองสุดยิ่งใหญ่ ส่วนประเภทชาย หนุ่มน้อยจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ตีวันสุดท้ายเข้ามาเพิ่ม 4 อันเดอร์พาร์ สกอร์รวม 10 อันเดอร์พาร์ ซิวแชมป์ไปครอง คว้าตั๋วไปทัวร์ฯ ที่สหรัฐอเมริกา

ผลการแข่งขันกอล์ฟ MAZDA AJGA THAILAND JUNIOR CHAMPIONSHIP 2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2567 ณ สนามกอล์ฟ Lotus Valley Golf Resort จังหวัดฉะเชิงเทรา มีเยาวชนที่เดินทางมาจากทั่วโลกเข้าร่วมดวลวงสวิงในครั้งนี้ 135 คน

โดยแชมป์ประเภทเยาวชนหญิงตกเป็นของสาวน้อยจากกรุงเทพฯ กัลยรักษ์ พงศ์พิธานนท์ นักกอล์ฟจากประเทศไทย ทำสกอร์รวม 2 อันเดอร์พาร์ ส่วนแชมป์ประเภทเยาวชนชาย นักกอล์ฟจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน Kaichen Xia ที่ทำสกอร์รวมดีที่สุด 10 อันเดอร์พาร์ เบียดเอาชนะหนุ่มน้อยจากเกาหลีที่ขึ้นนำในวันแรก 4 อันเดอร์พาร์

ซึ่งในจำนวนท็อป 5 ทั้งสองประเภท รวมจำนวน 10 คน มีนักกอล์ฟเยาวชนจากประเทศไทยขึ้นโพเดียมถึง 7 คน แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถของเยาวชนไทยที่ฝากผลงานเป็นที่ประจักษ์ พร้อมก้าวสู่เส้นทางนักกอล์ฟมืออาชีพในอนาคต

ผลการแข่งขันประเภทเยาวชนชาย

  1. Kaichen Xia จากจีน ทำสกอร์รวม -10 อันเดอร์พาร์
  2. Ajalawich Anantasetthakul จากไทย ทำสกอร์รวม -4 อันเดอร์พาร์

Sivawong Aukrawat จากไทย ทำสกอร์รวม -4 อันเดอร์พาร์

Jae Min Park จากเกาหลีใต้ ทำสกอร์รวม -4 อันเดอร์พาร์

  1. Teerawut Boonseeor จากไทย ทำสกอร์รวม -2 อันเดอร์พาร์

ผลการแข่งขันประเภทเยาวชนหญิง

  1. Kanyarak Pongpitthanon จากไทย ทำสกอร์รวม -2 อันเดอร์พาร์
  2. Kritchanya Kaopattanakul จากไทย ทำสกอร์รวม -1 อันเดอร์พาร์
  3. Parat Sukanant จากไทย ทำสกอร์รวม E อีเวนพาร์
  4. Teemapat Pateetin จากไทย ทำสกอร์รวม +1 โอเว่อร์พาร์

4.  An Le Chuc จากเวียตนาม ทำสกอร์รวม +1 โอเว่อร์พาร์

นายธีร์เพิ่มพงศ์พันธ์รองประธานบริหารอาวุโสบริษัทมาสด้าเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การแข่งขันในสนามแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงามได้รับความสนใจจากเยาวชนและผู้ปกครองจากทั่วโลก เพื่อต้องการสมัครเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้อย่างล้นหลาม

มาสด้าขอแสดงความยินดีกับนักกอล์ฟเยาวชนไทยและเยาวชนจีน ทั้ง 2 คน ที่พิชิตแชมป์การแข่งขันในครั้งนี้ และคว้าสิทธิ์เดินทางไปเล่นทัวร์นาเม้นต์ที่อเมริกา และขอขอบคุณเยาวชนทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ

อย่างน้อยที่สุดทุกคนได้ประสบการณ์จากการลงเล่นในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ระดับนานาชาติ และขอให้ทุกคนมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคเฉกเดียวกับชาวมาสด้า ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อม เพื่อโอกาสในการคว้าแชมป์ในสนามหน้าที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้

ทั้งนี้ทางผู้จัดการแข่งขันเตรียมเปิดรับสมัครในเร็วๆ นี้ และคอยติดตามอย่างใกล้ชิดผ่านทางเว็บไซต์ www.mazda.co.th หรือ Facebook: MazdaThailandOfficial

MOTOR

เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำทีม The new E-Class บุกห้างดัง จัดเต็มข้อเสนอในงาน Mercedes-Benz StarFest 2024 ชวนลูกค้าสัมผัสรถที่ใช่ในพื้นที่ใกล้บ้านคุณ

เมอร์เซเดสเบนซ์ ประเทศไทย สานต่อความคึกคักของงาน Motor Show 2024 เดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายช่วงหน้าร้อนกับงาน “Mercedes-Benz StarFest 2024” นำเสนอคอนเซปต์ “The Ultimate Experience” ยกทัพยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด นำโดย The new E-Class 

จัดแสดงตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำเพื่อให้ลูกค้าทุกคนเข้าถึงรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรับข้อเสนอต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย โดยประเดิมครั้งแรกที่ศูนย์การค้าเกษรอมรินทร์ (Gaysorn Amarin) เมื่อวันที่ 25 – 28 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา และจัดอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ตามรายละเอียด ดังนี้

เซ็นทรัลลาดพร้าว (ชั้น 1) วันที่ 2 – 8 พฤษภาคม 2567 จัดแสดงรถยนต์ 6 รุ่น ได้แก่

  • E 350 e AMG Dynamic (The new E-Class)
  • GLC 350 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic
  • E 300 e AMG Dynamic
  • GLS 450 d 4MATIC AMG Dynamic
  • EQS 450+ AMG Dynamic
  • C 220 d Avantgarde

เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ วันที่ 16 – 22 พฤษภาคม 2567 จัดแสดงรถยนต์ 4 รุ่น ได้แก่

  • E 350 e AMG Dynamic (The new E-Class)
  • GLC 350 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic
  • C 220 d Avantgarde
  • C 350 e AMG Dynamic

เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ (ชั้น 1) วันที่ 30 พฤษภาคม – มิถุนายน 2567 จัดแสดงรถยนต์ 4 รุ่น ได้แก่

  • E 350 e AMG Dynamic (The new E-Class)
  • GLC 350 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic
  • E 300 e AMG Dynamic
  • EQS 450+ AMG Dynamic

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ www.mercedes-benz.co.th หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือผ่านช่องทาง Facebook: Mercedes-Benz Thailand IG: @MercedesBenzThailand และ LINE: @mercedesbenzth

MOTOR

เยาวชนทั่วเอเชียร่วมแข่งขันกอล์ฟก้าวแรกสู่เวทีโลก Mazda AJGA Thailand Junior Championship 2024

เริ่มแล้ววันนี้สำหรับการแข่งขันกอล์ฟเยาวชนระดับโลก MAZDA AJGA THAILAND JUNIOR CHAMPIONSHIP 2024 ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสและจุดประกายความฝันให้กับนักกอล์ฟทั้งเยาวชนชายและเยาวชนหญิงได้เข้าร่วมแข่งขันกอล์ฟระดับนานาชาติ

และที่สำคัญ ผู้ที่ชนะเลิศการแข่งขันในครั้งนี้จะคว้าสิทธิ์ เข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทันที โดยเยาวชนที่ได้รับโอกาสเดินทางไปเล่นกอล์ฟที่สหรัฐอเมริกานั้นจะมีโค้ชจากโรงเรียนชื่อดัง

หรือมหาวิทยาลัยชั้นนำมาสังเกตุการณ์ และอาจได้รับการเสนอทุนการศึกษาเพื่อเข้าศึกษาต่อและเป็นตัวแทนนักกีฬารวมถึงโอกาสในการร่วมการแข่งขัน เพื่อปูทางก้าวสู่เส้นทางการเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพในอนาคตต่อไป

การแข่งขันกอล์ฟ MAZDA AJGA THAILAND JUNIOR CHAMPIONSHIP 2024 นับเป็นการจัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีเยาวชนจากทั่วทวีปเอเชียเดินทางเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ จำนวน 132 คน รวมทั้งเยาวชนจากประเทศไทย และเยาวชนไทยที่มาสด้าได้คัดเลือกเข้าร่วมอีก 12 คน คือ ประเภทชาย 6 คน และประเภทหญิง 6 คน

การแข่งขันในครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2567 ณ สนามกอล์ฟ Lotus Valley Golf Resort จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการสนับสนุนการแข่งขันในครั้งนี้ ประกอบด้วย มาสด้า โรเล็กซ์ อาดิดาส และเทเลอร์เมด 

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “มาสด้ามีความเชื่อในคุณค่าของการ uplift ประสบการณ์การใช้ชีวิตของลูกค้า มีจิตวิญญาณความเป็นนักสู้ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และกล้าที่จะลุกขึ้นสู้ เฉกเช่นเดียวกับการเป็นนักกีฬาที่ต้องมีความขยันอดทน หมั่นฝึกซ้อม มีความมานะ

ต่อสู้กับตนเองและสภาพแวดล้อม เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคต ต่อยอดไปถึงการเล่นกอล์ฟระดับอาชีพ เช่นเดียวกับนักกอล์ฟชื่อดังหลาย ๆ คนที่ประสบความสำเร็จ อาทิ Tiger Woods, Phil Mickelson, Jordan Spieth, Nelly Korda หรือแม้กระทั่งโปรกอล์ฟหญิงขวัญใจชาวไทย อาทิ โปรแพตตี้, โปรโม, โปรเมย์” ที่เคยผ่านโครงการนี้มาแล้วทั้งสิ้น

ทั้งนี้ มาสด้ายังคงเดินหน้าในการส่งมอบ “ความสุขในการขับขี่” Joy of Driving ภายใต้คุณค่าหลักที่ให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้น “มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” และมุ่งมั่นที่จะส่งมอบ “ความสุขในการดำเนินชีวิต” ด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์ความสุขให้กับชีวิตประจำวันของลูกค้าทุกคน มาสด้าเชื่อว่าในทุกช่วงเวลาที่เราเดินไปพร้อมกัน

ทุกลมหายใจจะพาคุณเติบโตและไปได้ไกลกว่า พร้อมออกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ออกไปค้นพบโลกกว้างในอีกหลากหลายแง่มุม และส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กันและกัน มาสด้าพร้อมจะก้าวไปกับคุณในทุกเส้นทาง เพื่อก้าวสู่วันพรุ่งนี้และอนาคตที่สดใส ขับเคลื่อนชีวิตไปด้วยกันให้ไกลกว่าเดิม FEEL THE DRIVE

MOTOR

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จับมือโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ร่วมมอบประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟสุดหรูด้วยบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ร่วมกับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่ในการมอบประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟสุดหรูให้แก่แขกผู้เข้าพัก ด้วยบริการพรีเมียมลีมูซีนโดยรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 750e xDrive พร้อมความสะดวกสบายในการเดินทางเหนือระดับ รองรับการผ่อนคลายปลีกตัวจากความวุ่นวายบนพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ

ความร่วมมือในครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ในการมอบความเอ็กซ์คลูซีฟที่ให้ความสมดุลระหว่างความสะดวกสบายขณะเดินทางและความคล่องตัวบนท้องถนน ผ่านนวัตกรรมอันล้ำสมัยและเป็นเอกลักษณ์ในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 นี้ โดยแขกผู้เข้าพักจะได้รับบริการที่พิเศษและหรูหรามากขึ้น เพลิดเพลินกับการใช้บริการอันหรูหราพร้อมความหลากหลาย มอบประสบการณ์และความทรงจำที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมให้แก่ผู้มาเยือน

กว่า 147 ปีที่โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางที่ต้องการบริการอย่างมีสไตล์ พร้อมความหรูหราที่แตกต่างและเหนือกว่า ไม่เพียงแค่เป็นโรงแรมหรูหราแห่งแรกที่เปิดให้บริการในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นโรงแรมแห่งแรกที่เปิดในริมน้ำของกรุงเทพฯ

และเป็นโรงแรมแห่งแรกที่มีสปาและแจ๊ซบาร์ในประเทศไทย ด้วยสถานที่ตั้งบนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้โรงแรมห้าดาวอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งนี้มีชื่อเสียงทั้งด้านความสง่างามตามสไตล์วัฒนธรรมไทย พร้อมความหรูหราในการมอบประสบการณ์รูปแบบรีสอร์ทที่ไม่เหมือนใคร และยังมอบความสะดวกสบายพร้อมความพิถีพิถันตลอดการเข้าพัก

รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 750e xDrive นี้ผสานความสะดวกสบายและนวัตกรรมอันล้ำสมัยอย่างยอดเยี่ยม มาพร้อมไฟหน้า Adaptive LED เบาะนั่งมาพร้อมฟังก์ชันนวดผ่อนคลายสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมเบาะนั่งตอนหลังแบบ Executive Lounge ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 4 โซน เพิ่มการไหลเวียนอากาศในห้องโดยสาร

ระบบจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังประกอบด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 31.3 นิ้ว ความคมชัด 8K พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Bowers & Wilkins สร้างเสริมบรรยากาศเช่นเดียวกับในโรงภาพยนตร์ นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 750e xDrive ยังมีอัตราสิ้นเปลืองเชื่้อเพลิงโดยรวมเฉลี่ยเพียง 55.6 กม. / ลิตร อ้างอิงตามฐานข้อมูลจาก Eco Sticker

ความร่วมมือระหว่างบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย และโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ในครั้งนี้จึงถือเป็นการร่วมกันสร้างประสบการณ์หรูหราและไม่เหมือนใครให้ผู้เข้าพักได้สัมผัส ด้วยการผสานกันอย่างล้ำลึกและลงตัวระหว่างการให้บริการที่ยอดเยี่ยมและนวัตกรรมแห่งยานยนต์อันล้ำสมัย

MOTOR

นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ผงาดคว้าแชมป์ไทยลีก 2 สุดยิ่งใหญ่

สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา, จังหวัดนครราชสีมา, 24 เมษายน 2567 – หลังจากมาสด้าประกาศหนุนสวาทแคทต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 เพื่อลงสู้ศึกไทยลีก 2 ตลอดฤดูกาลนี้ เพราะมาสด้ายังคงเชื่อมั่นในสปิริตความเป็นนักสู้ของทีม ส่งผลให้แมตช์ก่อนสุดท้ายที่เดิมพันด้วยตำแหน่งแชมป์

เจ้าแมวพิฆาตก็ไม่ทำให้แฟนบอลชาวโคราชผิดหวัง ด้วยการเปิดบ้านเอาชนะทีมหนองบัว พิชญ คู่แข่งสำคัญที่กำลังเบียดกันลุ้นแชมป์ไปสุดมัน 3-0 ผงาดคว้าแชมป์ ครองความยิ่งใหญ่ท่ามกลางแฟนบอลเข้าชมเต็มสนามกว่า 25,000 คน ที่เดินทางมาให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม พร้อมกลับขึ้นสู่ไทยลีกอีกครั้งในฤดูกาลหน้า

มาสด้าส่งเสริมและสนับสนุนกีฬาฟุตบอลของประเทศไทย ด้วยการสนับสนุนทีมสวาทแคทมาตั้งแต่สมัยที่ยังเล่นอยู่ในไทยลีก 2 จนทีมสามารถก้าวขึ้นสู่ไทยลีกซึ่งเป็นลีกสูงสุดของประเทศในฐานะแชมป์ รวมระยะเวลากว่า 11 ปี และโลดแล่นอยู่ในไทยลีกนานถึง 9 ปี แต่เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาทีมสวาทแคทหล่นลงมาเล่นในไทยลีก 2 แต่ทั้งนี้ทางผู้บริหารสโมสรฯ ประกาศชัดเจนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบรรดาแฟนๆ

แมวพิฆาตว่าปีนี้จะต้องกลับขึ้นสู่ไทยลีกให้ได้อีกครั้ง และก็ทำได้สำเร็จพร้อมสร้างความสุขให้กับแฟนบอลด้วยการคว้าแชมป์ไทยลีก 2 มาได้อย่างสวยสดงดงาม โดยไม่แพ้ทีมใดในบ้านถึง 17 นัด และเสียประตูน้อยกว่าทุกทีมตลอดฤดูกาล ซึ่งแมตช์สุดท้ายจะออกไปเยือนทีมจันทบุรีในวันเสาร์ที่ 27 เมษายนนี้

นายธีร์เพิ่มพงศ์พันธ์รองประธานบริหารอาวุโส บริษัทมาสด้าเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดแมตช์นี้นับเป็นนัดสำคัญยิ่งต่อการตัดสินแชมป์ประจำฤดูกาล มีแฟนบอลหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศเข้าชมการแข่งขันในแมตช์นี้มากสุดถึง 24,556 คน ซึ่งทีมสวาทแคทยังคงครองสถิติอันดับหนึ่งที่มีผู้เข้าชมเกมมากที่สุด วันนี้ทุกคนในทีมต่างร่วมแรงร่วมใจกันลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ด้วยพลังศรัทธาและเชื่อมั่นในสปิริตความเป็นนักสู้ของทุกคนในทีม ซึ่งเป็น ดีเอ็นเอเฉกเช่นเดียวกับชาวมาสด้า

เราไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคและเชื่อมั่นในสปิริตความเป็นนักสู้ พร้อมฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ มากว่า 100 ปี และอยู่เคียงข้างคนไทยมาถึง 73 ปี และเราจะยังคงอยู่เคียงข้างสังคมไทยตลอดไป มาสด้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนวงการฟุตบอลไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ฟุตบอลเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมความสัมพันธ์อันดีของผู้คน ไม่ใช่เฉพาะกับชาวโคราชเท่านั้น แต่รวมถึงคนไทยทั้งประเทศ

สำหรับการแข่งขันแมตช์สำคัญในครั้งนี้ มีบุคคลสำคัญๆ ที่เดินทางมาให้กำลังใจนักเตะของทีมอย่างคับคั่ง ประกอบไปด้วย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาสโมสรฯ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ประธานบริหารสโมสร คณะผู้บริหารของสโมสรฯ พร้อมด้วยผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ รวมถึงเหล่าบรรดานักเตะแมวพิฆาต ทีมสตาฟโค้ช ฝ่ายเทคนิค และนักฟุตบอลเยาวชนจากอะคาเดมี่ ร่วมชมและเชียร์แมตช์นี้จนล้นสนาม

ตลอดเกมการแข่งขันทั้งสองทีมสู้กันสุดเร้าใจท่ามกลางกองเชียร์กว่า 25,000 คน หลังจบเกมการแข่งขันทีมนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี เป็นฝ่ายเอาชนะทีมหนองบัว พิชญ เอฟซี ไปได้ 3-0 คว้าแชมป์ไทยลีก 2 มาครองอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีพิธีมอบถ้วยฉลองแชมป์สุดอลังการ และได้รับเกียรติอย่างสูงจาก มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่เดินทางมาร่วมชมการแข่งขันและมอบถ้วยเกียรติยศในครั้งนี้

MOTOR

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย แต่งตั้ง มร. ธอมัส กอเรียน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจคนใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ประกาศแต่งตั้ง มร. ธอมัส กอเรียน เป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ เข้ารับตำแหน่งต่อจาก มร. กัลดริค ดอนเนอซาน ซึ่งย้ายกลับไปรับตำแหน่งที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ณ กรุงมิวนิค ประเทศเยอรมนี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

มร. กอเรียน ร่วมงานกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มานานกว่า 12 ปี โดยก่อนเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายภูมิภาคของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป โดยดูแลประเทศอินเดียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ในด้านการขายและการตลาดจากตำแหน่งก่อนหน้าในฐานะผู้ชำนาญการด้านการวางแผนผลิตภัณฑ์และราคา ณ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็น การวางกลยุทธ์ด้านราคา การวางแผนการขาย และการวางแผนผลิตภัณฑ์

หลังจากนั้นจึงได้ย้ายไปรับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการบริหารคุณภาพและพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย และผู้จัดการฝ่ายขายภูมิภาคตะวันออกกลาง สำหรับตำแหน่งใหม่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจสำหรับตลาดประเทศไทยนี้

มร. กอเรียน จะรับผิดชอบการบริหารและพัฒนาภาพรวมของการขายของบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศไทย รวมถึงการวางกลยุทธ์และการบริหารจัดการเครือข่ายผู้จำหน่าย เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายด้านการขายสำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูทั้งรุ่นนำเข้าและรุ่นประกอบในประเทศไทย

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “เรายินดีที่ได้ต้อนรับ มร. ธอมัส กอเรียน ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจของบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่าทศวรรษของการทำงานกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป

ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ มร. กอเรียน จะช่วยสร้างความสำเร็จของเราในตลาดยนตรกรรมพรีเมียมให้มากยิ่งขึ้นไปอีก เรามั่นใจว่า มร. กอเรียน จะมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่ง

ในการบริหารและวางกลยุทธ์ขององค์กรให้ไปถึงความสำเร็จตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมผลักดันให้เกิดการเติบโตและการพัฒนาของบีเอ็มดับเบิลยู ในประเทศไทยอย่างไม่หยุดยั้ง”

“และในโอกาสนี้ เราขอแสดงความชื่นชม มร. กัลดริค ดอนเนอซาน ในความทุ่มเทที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อองค์กรของเรา ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ความเสียสละและความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยมของ มร. ดอนเนอซาน มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จอย่างมากของบีเอ็มดับเบิลยู

นำไปสู่การได้รับยอดจดทะเบียนสูงสุดและการเป็นผู้นำตลาดรถยนต์พรีเมียมในประเทศไทยเป็นเวลาสี่ปีติดต่อกัน เราภูมิใจที่ มร. ดอนเนอซาน เป็นหนึ่งในสมาชิกสำคัญของเราและร่วมขับเคลื่อนการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร

และเสริมสร้างความภักดีในแบรนด์ให้แก่ลูกค้าของเรา ขอขอบคุณ มร. ดอนเนอซาน และขอให้ประสบความสำเร็จกับเส้นทางต่อไปใน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในมิวนิค” มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา กล่าวสรุป

MOTOR

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ส่งมอบบีเอ็มดับเบิลยู CE 02 แก่ลูกค้าเป็นประเทศแรกในโลก พร้อมส่งมอบบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS แก่ลูกค้ากลุ่มแรกในไทยอย่างเป็นทางการ

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมการขับขี่แห่งอนาคต ด้วยการส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์สมรรถนะสูงสองรุ่นใหม่ล่าสุดให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ได้แก่ บีเอ็ม ดับเบิลยู CE 02 มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสุดก้าวล้ำ

มาพร้อมกับเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% และบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS มอเตอร์ไซค์สายพันธุ์แอดเวนเจอร์อันทรงพลัง การส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่น ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของประเทศไทย

ในฐานะหนึ่งในตลาดเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งโดดเด่นด้วยผลการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง กอปรกับความไว้วางใจของผู้บริโภคที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์คุณภาพจากแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ด้วยยอดจดทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ รวม 1,079 คัน ในปี พ.ศ. 2566

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการส่งมอบบีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ให้กับคุณนิธิศ ชัยจรูญรัตน์ ซึ่งเป็นลูกค้ารายแรกของโลกที่ได้รับมอบมอเตอร์ไซค์รุ่นดังกล่าว ทั้งนี้ มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ยังมีการเผยโฉมสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกของโลกในประเทศไทย

ณ งานบางกอก อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2024 ที่ผ่านมาอีกด้วย มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้มีการออกแบบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่มองไปข้างหน้าของการขับเคลื่อนสองล้อในตัวเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีสไตล์ไม่ซ้ำใคร และอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญ กับการส่งมอบบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS

โดยมิลเลนเนียม ออโต้ ให้กับลูกค้ากลุ่มแรกในประเทศไทย เป็นจำนวนเกือบ 20 คัน ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่ส่งมอบมอเตอร์ไซค์จากโรงงานประกอบภายในประเทศให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS โดดเด่นกว่าใครด้วยสมรรถนะที่แข็งแกร่ง คุณสมบัติขั้นสูงต่าง ๆ และประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ จนเป็นที่ชื่นชอบของสิงห์นักบิดที่หลงรักการผจญภัย

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย นำโดยมร. ชิวาภาดา เรย์ (ที่ 7 จากซ้าย) ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ส่งมอบบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ให้แก่ลูกค้ากลุ่มแรกในประเทศไทย

มร. ชิวาภาดา เรย์ ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่นำนวัตกรรมจากมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 และบีเอ็ม ดับเบิลยู R 1300 GS อันทรงพลังมาสู่ลูกค้าคนสำคัญของเราในประเทศไทย

การส่งมอบมอเตอร์ไซค์ที่โดดเด่น ทั้งสองรุ่น ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ในการจัดหามอเตอร์ไซค์สมรรถนะสูง ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าของเรา ในขณะเดียวกันก็คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วยการคิดค้นโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมสำหรับการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

ทั้งนี้ เราจะยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งในการคิดค้นนวัตกรรมมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ทุกรูปแบบการขับขี่ของเหล่านักบิด พร้อมสร้างสรรค์กิจกรรมการตลาดเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งและมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า คนสำคัญของเรา”

บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ เป็นยนตรกรรมไฟฟ้าจากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้ชีวิตในเมือง มาในคอนเซ็ปท์ “eParkourer” (Pakour หรือ ปากัวร์ เป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่เน้นการปีนป่ายข้ามอุปสรรคด้วยความรวดเร็ว) มอบความคล่องตัว

ทรงพลังและความเร้าใจในการขับขี่แต่ละวัน บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 48 โวลต์ ความจุ 1.96 กิโลวัตต์-ชั่วโมง 2 ก้อน โดยแบตเตอรี่สามารถถอดได้ระหว่างการบำรุงรักษา สร้างกำลังได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์

(15 แรงม้า) ส่งแรงบิดสูงสุด 55 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 ถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียง 3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้ไกลถึง 95 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 0% ถึง 100% ในเวลา 210 นาที และชาร์จจาก 20% ถึง 80% ในเวลา 102 นาที ด้วยสายชาร์จแบบเร็วที่ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยให้กำลังไฟสูงถึง 1,500 วัตต์

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ มาพร้อมสมรรถนะที่เหนือไปอีกขั้นในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง เอนดูโร จากตระกูล GS กับการปรับโฉมใหม่เกือบทั้งหมด มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบวางเรียงระดับตำนานของตระกูล GS

ที่ออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัดยิ่งกว่าที่เคย พร้อมความจุ 1,300 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 107 กิโลวัตต์ (145 แรงม้า) ที่ 7,750 รอบต่อนาที มอบแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที นับว่าเป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยมีมา สำหรับสายผจญภัยทางวิบากสามารถเลือกโหมดการขี่ “Enduro” ใหม่

ซึ่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นระหว่างการผจญภัยบนเส้นทางวิบากโดยเฉพาะ โหมดการขับขี่ “Rain” และ “Road” ปรับแต่งเพื่อรองรับการขับขี่บนสภาพท้องถนนหลากหลายรูปแบบ ในขณะที่โหมด “Eco” จะมอบการขับขี่ที่ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและประหยัดน้ำมันเพื่อระยะการเดินทางสูงสุด

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ ได้ปรับโฉมรถมอเตอร์ไซค์ในตระกูล GS แบบดั้งเดิม สู่สไตล์การออกแบบที่ปราดเปรียวยิ่งกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบถังเชื้อเพลิงอลูมิเนียมใหม่ให้แบนราบลง มอบรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว

โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS มาพร้อมกับ 3 เฉดสีสุดโดดเด่น ได้แก่ สีดำ Black Storm Metallic สุดเท่, สีน้ำเงิน Racing Blue Metallic ที่ได้แรงบันดาลใจจากสนามแข่ง, และสีเขียว-ทองสุดหรูหราในเฉด Option 719 Aurelius Green Metallic

MOTOR

ยางคอนติเนนทอล ฉลองครบรอบความสำเร็จ 15 ปี ในประเทศไทย และการก่อตั้งโรงงานยางคอนติเนนทอลแห่งแรกในประเทศไทยกว่า 5 ปี

คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านยางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 15 ปี ในการก่อตั้งธุรกิจยางรถยนต์ในประเทศไทย พร้อมกับการครบรอบ 5 ปี ในการเปิดโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่จังหวัดระยอง

ด้วยการลงทุนมากกว่า 276 ล้านยูโร หรือกว่า 11,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นโรงงานที่ทันสมัยที่สุดและเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่ของคอนติเนนทอล เพื่อผลิตยางสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเล็ก ตลอดจนรถจักรยานยนต์ ทั้งยังมีส่วนส่งเสริมการจ้างงานกว่า 900 ตำแหน่ง

โรงงานแห่งนี้กำลังก้าวขึ้นเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของคอนติเนนทอลในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมทั้งมีส่วนในการยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนแก่ผู้ขับขี่และผู้ใช้งานผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากเยอรมัน

ส่งมอบคุณค่าของผลิตภัณฑ์และการบริการอันยอดเยี่ยมท่ามกลางความท้าทายของตลาด

มร. คาเรล คูเซรา (Mr. Karel Kucera) กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ”ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 15 ปี ของการก่อตั้งธุรกิจยางรถยนต์คอนติเนนทอลในประเทศไทย ทำให้เรามองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นและการเดินทางที่ผ่านมาอย่างภาคภูมิใจ

และเรายังมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังผ่านการปรับใช้กลยุทธ์วิสัยทัศน์ปี 2573 ที่พร้อมเสริมสร้างแรงบันดาลใจในทุก ๆ วันแก่ลูกค้า ให้ทุกคนมั่นใจในทุกการเดินทางด้วยยางคอนติเนนทอล ทั้งยังพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับด้านความปลอดภัย และส่งเสริมความยั่งยืนในสังคมมากขึ้น“    

”ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราเริ่มเดินเครื่องการผลิตและสามารถส่งมอบยางเส้นแรกจากโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่จังหวัดระยองได้สำเร็จในเดือนพฤษภาคม 2562 ปัจจุบัน ถือว่าเราขับเคลื่อนเข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของตลาดแต่ละประเทศมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง โดยเราต้องการสร้างความมั่นใจว่า คอนติเนนทอลจะสามารถให้บริการลูกค้าด้วยความรวดเร็ว เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และมอบความปลอดภัยผ่านการเลือกใช้ยางระดับพรีเมียม

เรามุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์ รวมถึงการบริการต่าง ๆ อันยอดเยี่ยมในทุกมิติ เราพร้อมที่จะอยู่ตรงนี้ และก้าวไปข้างหน้ากับลูกค้าและพนักงานทุกคนอย่างยั่งยืน”

เดินหน้าสู่อนาคตด้วยการยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่

นอกจากนี้ โรงงานยางที่ระยองยังได้เริ่มการผลิตนวัตกรรมยางรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง “MaxContactMC7“ ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ โดยยางรุ่นนี้ถือเป็นยางสปอร์ตระดับพรีเมียมที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนการขับขี่ประจำวันให้มีความสนุกยิ่งขึ้น

ทั้งยังมอบความปลอดภัยสูงสุดอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเพื่อตอกย้ำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในรถยนต์ไฟฟ้า คอนติเนนทอลจึงเตรียมพร้อมที่จะเปิดตัวยางที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

ซึ่งถ้าย้อนไปในปี 2566 ที่ผ่านมา ทางคอนติเนนทอลได้ส่งมอบยางแก่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำที่มียอดผลิตสูงสุดห้าอันดับแรกในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเรามีเทคโนโลยีพิเศษที่ตอบโจทย์ความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ContiSeal™ เทคโนโลยีที่จะช่วยอุดรอยรั่วได้ทันที

ลดการใช้ยางอะไหล่ หรือจะเป็น ContiSilent™ ยางที่สามารถลดเสียงรบกวนเพื่อการขับขี่ที่เงียบสงบ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ปราศจากเสียงเครื่องยนต์ ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งด้านความเชี่ยวชาญของยางคอนติเนนทอลสำหรับทั้งรถยนต์สันดาปทั่วไปและรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม

โรงงานแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จของคอนติเนนทอลมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น โดยความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของพนักงานทุกคน ทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากทุกภาคส่วน ทั้งซัพพลายเออร์ ผู้แทนจำหน่าย และลูกค้าทุกท่าน

ตลอดจนความรู้ความชำนาญที่มีร่วมกันกับเครือข่ายโรงงานผลิตยางรถยนต์คอนติเนนทอลอีกกว่า 20 แห่งทั่วโลก อันเป็นส่วนช่วยผลักดันให้คอนติเนนทอลก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสวยงาม

“เรามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ส่งมอบทั้งความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ และความหลากหลายในการผลิตยางที่โรงงานในจังหวัดระยอง นอกจากนี้ เรายังมีความเชื่อมั่นในการเติบโตและความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในอนาคตของคอนติเนนทอล

ผมจึงอยากกล่าวขอบคุณพนักงาน หน่วยงานท้องถิ่น พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนลูกค้าของเราที่ทำให้คอนติเนนทอลเติบโตด้วยความสำเร็จมาจนถึงวันนี้” มร. วิกเนซ เดวาเซนาพาที (Mr. Vignesh Devasenapathy) ผู้จัดการโรงงาน บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวเสริม

โรงงานยางที่จังหวัดระยอง นับว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างอันโดดเด่นทางด้านความเป็นเลิศในกระบวนการผลิต โดยเติบโตอย่างรวดเร็วหลังจากเริ่มเดินเครื่องการผลิต และส่งมอบยางเส้นแรกให้กับลูกค้าชั้นนำระดับโลก ที่เจาะจงเลือกใช้ยางคอนติเนนทอลให้เป็นยางสำหรับรถยนต์

ที่ออกจากโรงงาน หรือที่เรียกกันว่ายาง OE (Original Equipment) ได้สำเร็จในปี 2562 หรือเพียงสองปีหลังจากการก่อตั้งโรงงาน ปัจจุบันโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตสูงถึง 4 ล้านเส้นต่อปี โดยมีการผลิตยางคุณภาพสูงสำหรับรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ Continental, General Tire, และ Viking

นอกจากนี้ คอนติเนนทอลได้ขยายการลงทุนก่อสร้างโรงงานยางรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย ในปี 2565 ซึ่งเป็นโรงงานยางรถจักรยานยนต์แห่งที่สองที่ก่อตั้งนอกประเทศเยอรมนี สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและคุณภาพด้านกระบวนการผลิตอันทันสมัย โดยมีพนักงานกว่า 900 คน ที่พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม

ทั้งอุปกรณ์ดั้งเดิมและอุปกรณ์เสริม ให้แก่ลูกค้าและพันธมิตรในทุกภาคส่วน นอกจากโรงงานแห่งนี้จะเป็นแบบอย่างของวัฒนธรรมการทำงานสมัยใหม่แล้ว ยังนำเสนอความเป็นสากลและความหลากหลายทางเพศ ตลอดจนความปลอดภัยอย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดระยะเวลาในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องกว่าสามปีเต็ม

โรงงานแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางวิศวกรรมชั้นนำของเยอรมนีมาสู่เมืองไทยเท่านั้น แต่ยังถูกสร้างขึ้นด้วยมาตรฐานและประสิทธิภาพอันสูงสุดในระดับเดียวกันกับโรงงานผลิตยางรถยนต์คอนติเนนทอลทั่วโลก

เครื่องจักรในโรงงานได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน อีกทั้งกระบวนการโลจิสติกส์แบบอัตโนมัติระดับสูง ที่ช่วยให้พนักงานทุกคนได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ลงตัวตามหลักสรีระศาสตร์

คอนติเนนทอลมุ่งมั่นตอบแทนผู้มีอุปการะคุณทุกภาคส่วนด้วยนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก

โครงการริเริ่มด้านการประหยัดพลังงานของคอนติเนนทอลถูกนำมาปรับใช้ในกระบวนการผลิตของโรงงานยางที่จังหวัดระยอง โดยในปี 2566 โรงงานแห่งนี้ได้ขยายกําลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เป็น 4.2 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกําลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน แผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งอยู่ในโรงงานสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ทั้งหมด 13% ของไฟฟ้าที่จําเป็นในกระบวนการผลิต

นอกจากนี้ คอนติเนนทอลยังสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โครงการด้านความปลอดภัย ด้านสุขภาพ ด้านคุณภาพชีวิต และการศึกษา เช่น การปลูกต้นไม้ การปรับปรุงสนามเด็กเล่นในโรงเรียน การสร้างความตระหนักรู้ การให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัย การแยกขยะ และเรื่องสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน สำหรับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดระยอง

คอนติเนนทอล ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2414  พัฒนาเทคโนโลยีและบริการที่ก้าวล้ำสำหรับยานยนต์ที่มีการเชื่อมต่อและความยั่งยืนให้กับผู้คนทั่วโลก โดยนำนวัตกรรมยานยนต์ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ

ชาญฉลาดและราคาสมเหตุสมผลให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร ตลอดจนการขนส่ง ในปี พ.ศ. 2565 คอนติเนนทอลมียอดขายสูงถึง 39.4 พันล้านยูโร และมีพนักงานกว่า 200,000 คนใน 57 ประเทศทั่วโลก