ไม่มีหมวดหมู่

ผีกะแฝงร่าง “น้ำตาล” ร่ายความสวย เรียก “กิก” พร้อมคิดบัญชีแค้น “ฝ้าย” ใน วิญญาณแพศยา

ยอมในความแพ้ไม่เป็นของ น้ำตาล ชลิตา ส่วนเสน่ห์ ในละคร วิญญาณแพศยา ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 อีพี8 ที่ใช้วิชามาร ปลุกผีกะพระ-นาง รับบทโดย “จึ๋ง อนุรักษ์” ที่เลี้ยงไว้หลังปล่อยให้อดอยาก ได้เลียหน้าจนกลับมางดงามกว่าเดิม

ทำให้ “กิก ดนัย จารุจินดา” หลงหัวปักหัวปำ งานนี้นอกจากจะดึงคนที่รักกลับมาได้แถมยังได้แก้แค้นศัตรูคนสำคัญอย่าง “ฝ้าย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร” จนสาแก่ใจ เบื้องหลังฉากนี้จะเป็นอย่างไรมาชมไปพร้อมกัน

เป็นฉากที่ เอิ้งโหลง(น้ำตาล) พ้นโทษ หลังจากออกมาได้ จึงรีบไปขุดหลุมหาหม้อที่ซ่อน ผีกะพระ-นาง ไว้ และร่ายคาถาเพื่อให้กลับมาสวยสง่าดั่งเดิม แต่ก็ไม่เป็นผลจึงต้องสังเวยด้วยเลือด

พร้อมกับไม่รีรอแก้แค้น ยูงคำ (ฝ้าย) ต้นตอแย่งความรักไปจาก เจ้าหลวงหน่อฟ้า (กิก) อย่างสาหัส ทันทีที่เจ้าหลวงมาเห็น เอิ้งโหลง ด้วยมนต์คาถาของผีกะ จึงทำให้กลับมาหลงไหลในตัวเอิ้งโหลงอย่างขาดสติและสมสู่ ต่อหน้าต่อตา กันท่ามกลางความเจ็บปวดของยูงคำ

เบื้องหลังฉากนี้ สุดติ่งในความเข้มข้น เพราะแฟนละครต้องลุ้นไปกับชะตากรรมของเอิ้งโหลง ว่าจะสามารถกลับมาชูคอได้หรือไม่ หลังจะที่ชีวิตตกต่ำแบบขั้นสุด แถมยังต้องอัพเลเวลความหวาดเสียวขึ้นไปอีกกับฉากผีกะพระ-นาง ที่แปลงกายมาเข้าสิง น้ำตาล เพื่อจะเข้ามาสมสู่กับกิก

เพื่อเป็นการเสพกามเพิ่มอิทธิฤทธิ์ ที่ใช้เวลาแต่งเอฟเฟกต์ไปเกือบ 5 ชั่วโมง ฉากนี้นักแสดงทุกคนต้องใช้พลังเยอะมาก เพราะค่อนข้างที่จะมีหลายเหตุการณ์ เหตุการณ์แรกเป็นฉากที่ น้ำตาลยังต้องต่อสู้กับ ฝ้าย ทั้งบีบคอ จิกหัว ตบหน้าไม่ยั้งมือ พังข้าวของเมามัน ไม่รู้ว่างานนี้ 2 สาว

เอาพลังมาจากไหน ดูแล้วอิน ดูแล้วแค้นแบบสมจริง  พอพักหายเหนื่อยแล้ว น้ำตาล มาเข้าฉากต่อเนื่องกับกิก สวดบูชาผีกะพระนาง หลังโดนคาถาเรียกให้หลงใหล จากนั้นก็ลุกขึ้นคร่อม กิก ถึงกับเคลิ้มเหมือนตกอยู่ในภวังค์สลับกับร่างของผีกะพระ-นาง ที่ครอบงำ น้ำตาลอยู่

เมื่อเส้นทางการเป็นเจ้านางหลวงของน้ำตาลยังไม่สำเร็จ และการใช้ผีกะเป็นเครื่องมือเสริมให้เป็นคนโปรดของเจ้าหลวงหน่อฟ้าจะสะดุดหรือไม่ ติดตามไปพร้อมกันได้ใน ละคร วิญญาณแพศยา วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม 2567 เวลา 18.00 น. ทางช่อง 8 กดเลข 27 

และสามารถรับชมย้อนหลังที่แรกที่เดียวที่ TrueID ผ่าน 3 ช่องทางแอปพลิเคชันเว็บ และกล่อง TrueID TV ดูฟรีทุกเครือข่าย

ไม่มีหมวดหมู่

ADVICE หุ้นน้องใหม่ BIG 4 ค้าปลีกไอที เก๋าวงการ จัดทัพ IPO Roadshow พบนักลงทุน 18 ม.ค.นี้

เตรียมพบกับงาน ADVICE  “IPO Press Conference & Retail Investor Roadshow” ของ บมจ.แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท หรือ ADVICE ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทีรายใหญ่ของประเทศ เตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)  เดินหน้าเสนอขายหุ้นไอพีโอ 170 ล้านหุ้น

ภายในไตรมาสแรกปีนี้ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจ ผู้บริหารมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 25 ปี นำทัพโดย ซีอีโอมากฝีมือ “คุณณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์” ควงแขนที่ปรึกษาทางการเงิน “คุณรัชดา เกลียวปฏินนท์” กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 

แทคทีมร่วมนำเสนอข้อมูล ชูจุดแข็ง ADVICE เป็น 1 ใน 4 ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทีรายใหญ่ที่มียอดขายสูงสุดของประเทศ และโอกาสการเติบโต ต่อยอดอาณาจักรศูนย์รวมสินค้าและบริการด้านไอทีแบบครบวงจร ตอบสนองความต้องการลูกค้าในกลุ่มไอที และกลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่างเต็มรูปแบบ

พบกันวันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม 2567 เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป นักลงทุนที่สนใจสามารถรับชมผ่าน Facebook IR PLUS : https://www.facebook.com/irplus หรือ YouTube AdviceClub https://www.youtube.com/@AdviceTh

ไม่มีหมวดหมู่

อีวีเอแอร์ วางคำสั่งซื้อครั้งสำคัญกับแอร์บัส

อีวีเอแอร์ (EVA Air) สายการบินสัญชาติไต้หวัน ได้สรุปคำสั่งซื้อเครื่องบิน พิสัยไกล รุ่น เอ350-1000 (A350-1000) จำนวน 18 ลำ และเครื่องบินทางเดินเดี่ยว รุ่น เอ321นีโอ (A321neo) จำนวน 15 ลำกับแอร์บัส

คำสั่งซื้อดังกล่าวทำให้สายการบินกลายเป็นสายการบินระดับโลกรายล่าสุด ที่เลือกเครื่องบิน A350-1000 เพื่อรองรับความต้องการในการบินระยะทางไกลในอนาคต นอกจากนี้ เครื่องบิน A321neo จะนำประสิทธิภาพใหม่ที่ดีขึ้นมาสู่สายการบิน EVA Air ภายในเส้นทางระดับภูมิภาค

เคลย์ ซัน (Clay Sun) ประธานสายการบิน EVA Air กล่าวว่า “เราได้เลือกเครื่องบินของแอร์บัสภายหลังการประเมินรุ่นต่างๆ ในแต่ละกลุ่มตลาดอย่างละเอียด เครื่องบินทั้งสองขนาดที่เราได้เลือก เป็นประเภทที่ทันสมัยและประหยัดเชื้อเพลิงที่สุด ซึ่งมอบความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารในระดับสูงสุด นอกจากนี้ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างมาก

ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทเรา สำหรับการปฏิบัติการบินในเส้นทางระยะไกล เครื่องบิน A350-1000 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเครื่องบินในระดับเดียวกัน และจะทำให้เราสามารถมอบประสบการณ์บนเครื่องบินที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้กับผู้โดยสารของเรา”

เบอนัวต์ เดอ แซงเต็กซูเปรี (Benoît de Saint-Exupéry) รองประธานฝ่ายขายเครื่องบินพาณิชย์ของแอร์บัส กล่าวว่า “คำสั่งซื้อนี้ถือเป็นก้าวใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างแอร์บัสกับ EVA Air  เราขอขอบคุณสายการบินที่ให้ความเชื่อมั่นต่อแอร์บัส ภายในตลาดเครื่องบินพิสัยไกล สิ่งนี้เป็นการรับรองตอกย้ำว่า A350-1000 

เป็นเครื่องบินที่สามารถปรับปรุงทดแทนเครื่องบินประเภทลำตัวกว้างขนาดใหญ่รุ่นเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย A350 กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านพิสัยบิน น้ำหนักบรรทุก ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง และความสะดวกสบายของผู้โดยสาร ขณะเดียวกันก็ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ในทันที”

“เรายังขอขอบคุณสายการบิน EVA Air ที่ยืนยันในคำมั่นสัญญาต่อเครื่องบินตระกูลทางเดินเดี่ยวรุ่นล่าสุดของ แอร์บัส ด้วยการสั่งซื้อเครื่องบินรุ่น A321neo โดยตรงเป็นครั้งแรก และเราหวังว่าจะได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดในขณะที่ทางสายการบินเตรียมพร้อมสำหรับฝูงบินแอร์บัสใหม่”

ในฐานะผู้นำการบินพิสัยไกลของอุตสาหกรรม เครื่องบิน A350 มีจำหน่ายในสองขนาดด้วยกัน โดยทั่วไปแล้วรุ่น A350-900 จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 350 คน สำหรับเครื่องบินแบบสามชั้นรุ่นมาตรฐาน ส่วนรุ่น A350-1000 ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่านั้น สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 410 คน

ด้วยพลังการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์เจเนอเรชันล่าสุด ทำให้เครื่องบินแอร์บัสรุ่น A350 สามารถบินได้ไกลถึง 9,700 ไมล์ทะเล หรือ 18,000 กิโลเมตรแบบไม่หยุดพัก โดยใช้เชื้อเพลิงน้อยกว่าเครื่องบินในรุ่นก่อนหน้าถึง 25 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในระดับเดียวกัน สำหรับผู้โดยสารแล้ว เครื่องบิน A350 

มอบความสะดวกสบายในการบินระดับสูงสุด ด้วยห้องโดยสารที่เงียบที่สุด และระบบไฟส่องสว่างแบบใหม่ รวมถึงการเชื่อมต่อในระหว่างการบินแบบใหม่ล่าสุด และแรงกดดันอากาศในห้องโดยสารที่ลดลง ซึ่งช่วยให้แน่ใจว่าผู้โดยสารสามารถเดินทางถึงที่หมายได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

เครื่องบินตระกูล A350 ได้รับคำสั่งซื้อแล้วมากกว่า 1,000 ลำ จากลูกค้า 60 รายทั่วโลก โดยปัจจุบันมีเครื่องบินมากกว่า 570 ลำในฝูงบินของผู้ให้บริการ 39 ราย ซึ่งบินในเส้นทางระยะไกลเป็นหลัก

เครื่องบินรุ่น A321neo เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องบินในตระกูล A320neo ที่ผสานเทคโนโลยีล่าสุดจำนวนมากทั้งเครื่องยนต์เจเนอเรชั่นใหม่และปลายปีกแบบชาร์คเล็ท (Sharklet) รวมถึงตัวช่วยที่เพิ่มประสิทธิภาพของห้องโดยสาร เมื่อรวมกันแล้วเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

ด้วยคำสั่งซื้อมากกว่า 5,600 รายการ จากลูกค้ามากกว่า 100 รายนับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวในปี 2559 ทำให้เครื่องบินแอร์บัสรุ่น A321neo สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ถึงประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์

ไม่มีหมวดหมู่

วันเด็กแห่งชาติ : สร้างอนาคตที่สดใส ส่งเสริมให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ

“เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า” เป็นประโยคที่ได้ยินกันมาอย่างยาวนาน ดังนั้นการส่งเสริมให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ ผู้ใหญ่ถือเป็นส่วนสำคัญในการปลูกฝังจิตสำนึกและเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กเกิดการเรียนรู้ และซึมซับแต่สิ่งดีๆ เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพในวันข้างหน้า

สำหรับ “วันเด็กแห่งชาติปีนี้” ตรงกับวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 เป็นวันที่ให้ความสำคัญแก่เด็กและเยาวชน ซึ่งจะเติบโตขึ้นเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศในอนาคต จึงมีการจัดงานวันเด็กและกิจกรรมต่างๆ

ที่ทางภาครัฐและภาคเอกชนจัดขึ้น เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับความรู้และความสนุกสนานโดยในปีนี้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 ความว่า “มีวินัย จิตอาสา รักประชาธิปไตย”

แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัญหาหนึ่งที่ไม่เคยหายไปจากเด็กไทยเลย และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ “เด็กด้อยโอกาสที่ต้องการความช่วยเหลือ”

ปัญหาเด็กไร้บ้าน เด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือกำพร้าด้วยปัจจัยสาเหตุต่างๆ ยังคงพบเห็นได้มากในสังคมไทย แม้ทั้งรัฐบาลและหน่วยงานเอกชนต่างๆ จะพยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหามาโดยตลอด แต่ในทุกวันก็ยังมีเด็กที่สูญเสียโอกาสทางสังคมเพิ่มขึ้นเสมอ

ข้อมูลจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เมื่อปี 2564 เผยว่า มีเด็กทารกวัยแรกเกิด – 6 ขวบ ถูกทอดทิ้งตามสถานที่ต่างๆ มีอัตราสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยจำนวนกว่า 100 คนต่อปี

โดยยังมีเด็กที่ต้องกำพร้าหรือเด็กที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง จากสถานการณ์โควิด-19 และจากกรณีอื่นที่เป็นผลกระทบทางอ้อมจากวิกฤตโรคระบาดโควิดเพิ่มสะสมมากขึ้น

มูลนิธิเด็กโสสะฯ ยังคงให้ความช่วยเหลือเด็กไทยที่กำพร้า ถูกทอดทิ้ง และเด็กในกลุ่มเสี่ยงที่ไม่สามารถอยู่ในครอบครัวดั้งเดิมของตนเองได้มาโดยตลอด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือ

มอบการดูแลอย่างมั่นคงปลอดภัยให้เด็กทุกคน ภายใต้ สิทธิเด็ก ที่ควรได้รับ เติบโตและมีพัฒนาการอย่างเหมาะสม นำไปสู่การเป็นประชากรที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยได้อย่างมีคุณภาพต่อไป

นอกจากการช่วยเหลือเด็กที่ขาดพ่อแม่และญาติมิตร หรือ เด็กที่ครอบครัวดั้งเดิมไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้เติบโตขึ้นภายใต้ครอบครัวทดแทนแล้ว มูลนิธิฯ ยังขยายความช่วยเหลือไปยังครอบครัวของเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้านเด็กโสสะ

ภายใต้ โครงการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับครอบครัว (Family Strengthening) โดยให้การสนับสนุนด้านอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการและความถนัดของคนในชุมชนเป็นหลัก ซึ่งเราเชื่อว่าเมื่อครอบครัวและชุมชนมีความเข้มแข็งแล้ว โอกาสที่เด็ก ๆ จะถูกทอดทิ้งก็จะลดปริมาณลง และเด็ก ๆ จะได้เติบโตขึ้นในครอบครัวของตนเองอย่างมีความสุข

ทั้งนี้ น้องๆ จากครอบครัวโสสะต่างได้รับโอกาสอันดีจากผู้บริจาคทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา หรือการใช้ชีวิตในครอบครัวอย่างอบอุ่น โดยทุกปี หมู่บ้านเด็กโสสะจะจัดงานวันเด็กให้เด็กทุกคนได้เข้าร่วมกิจกรรม

ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การจับของขวัญ การรับประทานอาหารมื้อพิเศษ รวมถึงการได้ไปทัศนศึกษาภายนอกหมู่บ้าน เพื่อสร้างความสุข ความสนุกสนาน และแรงบันดาลใจในการเติบโตขึ้นต่อไป

มูลนิธิเด็กโสสะฯ ขอขอบพระคุณทุกความเมตตา ที่ช่วยมอบโอกาสอันมีค่าให้เด็กๆ ได้เติบโตขึ้นอย่างสดใสแข็งแรง ​ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเด็กในครอบครัวโสสะ ได้ที่ เว็บไซต์ https://www.sosthailand.org/donate-now

และรับชมคลิป Never Ending Family : ครั้งแรกที่เด็กกำพร้าจะได้ถ่ายรูปกับครอบครัว ได้ที่ https://youtu.be/7HEu1ANr6c4

ไม่มีหมวดหมู่

กลุ่มพูลผล ปั้นแบรนด์ “คูน” รุกธุรกิจแป้งผลิตอาหารและขนมสำเร็จรูป ชูไฮไลท์สินค้าแป้งไดฟูกุสำเร็จรูป แป้งอเนกประสงค์ พร้อมชุดทำขนม เจาะกลุ่มผู้ผลิตขนม ร้านอาหาร และลูกค้าทั่วไป

กลุ่มพูลผล ได้เปิดตัว บริษัท ราวด์ เฮดส์ จำกัด เพื่อเดินหน้ารุกธุรกิจใหม่ “แป้งผลิตอาหารและขนมสำเร็จรูป” โดยชูจุดแข็งในเรื่องความสะดวก ทำเองได้ง่าย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ พร้อมวางจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ และร้านค้าชั้นนำแล้ววันนี้

กลุ่มพูลผล ผู้นำด้านธุรกิจการเกษตร ผู้ผลิตน้ำมันพืชกุ๊ก และวุ้นเส้นต้นสน เดินหน้ารุกธุรกิจใหม่ โดยเปิดตัว บริษัท ราวด์ เฮดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย “แป้งผลิตอาหารและขนมสำเร็จรูป” ภายใต้แบรนด์ “คูน” เมื่อปี 2564

โดยมีจุดขายคือ เนื้อสัมผัสของแป้งที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบครัน โดยบริษัทเริ่มจากการเปิดตัวจากผลิตภัณฑ์แป้งทำไดฟูกุ แป้งทำวาราบิโมจิ แป้งอเนกประสงค์กลูเตนฟรี

รวมถึงถั่วเขียวผงสำเร็จรูปสำหรับทำไส้ถั่วเขียวในขนมต่าง ๆ อาทิ ขนมเปี๊ยะ ขนมลูกชุบ ขนมหม้อแกง ตามด้วยการออกผลิตภัณฑ์กลุ่มทำเอง หรือ D.I.Y. อาทิ ไดฟูกุ ลูกชุบ บราวนี่ไมโครเวฟ เป็นต้น

อีกจุดขายของผลิตภัณฑ์คือ เน้นขั้นตอนที่น้อย ไม่ยุ่งยาก สามารถทำเองได้ง่าย ซึ่งเหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ และตอบโจทย์ครอบครัวสมัยใหม่ที่มองหากิจกรรมภายในครอบครัว ตลอดจนกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมทำอาหารเอง นอกจากนี้ ยังมุ่งเจาะกลุ่มผู้ผลิตอาหารขนาดเล็ก หรือกลุ่มผู้เริ่มต้นธุรกิจอาหาร โดยบริษัทมีการช่วยวิจัยสูตรอาหารหรือขนมให้กับลูกค้าในกลุ่มนี้เพิ่มเติมอีกด้วย

สำหรับเป้าหมายในการรุกธุรกิจใหม่ครั้งนี้ เพื่อต่อยอดและเติมเต็มธุรกิจของกลุ่มพูลผล ซึ่งส่วนใหญ่จะมีลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (B2B) ยังไม่ครอบคลุมกลุ่มผู้ผลิตอาหารขนาดเล็ก หรือกลุ่มผู้เริ่มต้นธุรกิจอาหาร โดยตั้งเป้าให้แบรนด์ “คูน” เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าผู้ผลิตขนาดเล็ก

ให้สามารถเข้าถึงวัตถุดิบในการผลิตขนมที่มีคุณภาพดี ตลอดจนกลุ่มลูกค้าทั่วไป สามารถทำตามได้ง่าย และได้ขนมที่อร่อย คุณภาพดี โดยอนาคตนอกจากในประเทศไทย บริษัทยังมีเป้าหมายขยายกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มภูมิภาคเอเชียอีกด้วย

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “คูน” (KOON) ประกอบด้วย แป้งไดฟูกุสำเร็จรูป, แป้งนวล หรือแป้งอเนกประสงค์, แป้งวาราบิโมจิ, ผงถั่วเหลืองคั่วบด (คินาโกะ), ชุด D.I.Y. ทำขนมไดฟูกุ ไส้ถั่วแดง, ชุด D.I.Y.ทำขนมไดฟูกุ ไส้ชาเขียว, กลูเตนฟรีบราวนี่ไมโครเวฟ,

แป้งอเนกประสงค์กลูเตนฟรี, ถั่วเขียวผง และพุดดิ้งสำเร็จรูป เจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มลูกค้า SMEs ผู้ผลิตขนมเพื่อจำหน่ายรายย่อย ได้แก่ กลุ่มร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ บริษัทรับจัดเลี้ยง รวมถึงลูกค้าทั่วไปที่สนใจทำขนมเอง

สำหรับช่องทางการจัดหน่าย มีทั้งช่องทางออนไลน์ต่างๆ ได้แก่ shopee และ Lazada รวมถึง TikTok, line my shop นอกจากนี้ ยังสามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่ร้านจำหน่ายอุปกรณ์เบเกอรี่, วิลลา มาร์เก็ต และ กูร์เมต์ มาร์เก็ต อีกด้วย

ไม่มีหมวดหมู่

FWD ประกันชีวิต ดูแลสุขภาพพนักงาน ชวนพนักงานเดิน-วิ่ง เปลี่ยนก้าวเดินเป็นเงินสมทบทุนศิริราชมูลนิธิ

บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ FWD ประกันชีวิต มุ่งมั่นในการเป็นสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดในใจพนักงาน จัดกิจกรรมดูแลสุขภาพ 10xFWD Step It Up Challenge ชวนพนักงานเดิน-วิ่งสะสมก้าวผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อเปลี่ยนก้าวเดินเป็นเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ป่วยด้อยโอกาส ศิริราชมูลนิธิ โดยมีกำหนดระยะเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม ถึง 10 พฤศจิกายน 2566 

มีพนักงานเข้าร่วมกิจกรรม 107 คน สามารถสะสมจำนวนก้าวรวมกันได้มากถึง 23,629,140 ก้าว คิดเป็นเงิน 66,240 บาท โดยมีคุณศิริวรรณ ทองเหลือง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบุคลากรและวัฒนธรรม (ที่ 2 จากซ้าย) เป็นผู้แทนบริษัท เข้ามอบเงินจำนวนดังกล่าวให้ศิริราชมูลนิธิ ซึ่งมีคุณสุนันท์ สิรประภาธรรม ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงาน ศิริราชมูลนิธิ (กลาง) ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ

ไม่มีหมวดหมู่

กรุงเทพประกันชีวิต รับมอบเข็มกลัดชมรมจรรยาบรรณหอการค้าไทย ปี 2566 ตอกย้ำการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล พร้อมนำองค์กรสู่ความยั่งยืน

กรุงเทพประกันชีวิต โดย นางสาวจารุวรรณ ลิ้มคุณธรรมโม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน  รับมอบเข็มกลัดชมรมจรรยาบรรณหอการค้าไทย ประจำปี 2566 จากนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (และ นางวีนัส อัศวสิทธิถาวร ประธานคณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชั่นและส่งเสริมจรรยาบรรณหอการค้าไทย 

ในพิธีประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทย ครั้งที่ 21 ประจำปี 2566 “ธุรกิจยั่งยืน สืบสานจรรยาบรรณจากรุ่นสู่รุ่น 90 ปี หอการค้าไทย” เพื่อเชิดชูเกียรติให้องค์กรที่มีความโดดเด่นด้านการส่งเสริมจรรยาบรรณที่ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณจรรยาบรรณดีเด่น หอการค้าไทยในปีที่ผ่านมา ณ ห้อง UTCC EVENTS LAB อาคาร 23 ชั้น 7 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้

กรุงเทพประกันชีวิต ยึดมั่นในการประกอบธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาลและการกำกับดูแลกิจการที่ดี บริหารธุรกิจด้วยความโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่น พร้อมดูแลใส่ใจ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้เอาประกันภัย ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม และสร้างคุณค่าแก่สังคม ตอกย้ำการเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน

ไม่มีหมวดหมู่

ไทยพาณิชย์ นำลูกค้ารายใหญ่เติบโตยั่งยืน ยืนยันความสำเร็จด้วย 29 รางวัลยอดเยี่ยมจากสถาบันชั้นนำทั่วโลก

ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศความสำเร็จกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ (SCB Wholesale Banking) ด้วย 29 รางวัลอันทรงเกียรติจาก 7 สถาบันชั้นนำระดับสากล เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นสร้างการเติบโตบนสินเชื่อคุณภาพ นำดิจิทัลยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการอย่างไร้รอยต่อ

พร้อมหนุนโอกาสให้ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่สร้างการเติบโตยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผ่านตัวเลือกผลิตภัณฑ์การเงินยั่งยืนที่หลากหลายรองรับทุกความต้องการของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ผลสำรวจล่าสุด ได้รับการยอมรับจากลูกค้าภาคธุรกิจที่เลือกใช้ไทยพาณิชย์เป็นธนาคารหลักอันดับ 1 ในการดำเนินธุรกิจ

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ท่ามกลางความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นไปค่อยไป ตลอดจนต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังสามารถสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างน่าพอใจ สร้างการเติบโตด้านรายได้ รวมถึงการมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำผ่านการสนับสนุนสินเชื่อและตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (Sustainable Finance) อย่างเป็นรูปธรรม

“ความสำเร็จในปี 2566 นี้ เป็นผลจากการความมุ่งมั่นในการให้บริการในฐานะพันธมิตรที่เข้าใจธุรกิจ (Trusted Partner) ให้กับลูกค้า โดยการสนับสนุนช่วยเหลือให้ลูกค้าปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืนในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนจากปัจจัยด้านต่างๆ ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสินเชื่อที่ครอบคลุมทุกความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่

พร้อมเร่งเดินหน้าเสริมศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการผ่านการยกระดับกระบวนการภายใน การพัฒนาบุคลากรให้เท่าทันเทรนด์การทำงานบนโลกดิจิทัล รวมทั้งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโนบายความยั่งยืน (ESG) ให้กับทั้งบุคคลกร และลูกค้าเตรียมความพร้อมสู่เส้นทางของ Net Zero ไปด้วยกัน”

ทั้งนี้ ธนาคารตั้งเป้าเป็นผู้นำทางด้านการเงินยั่งยืน (Sustainable Finance) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพทีมงานให้มีความรู้ในเรื่อง ESG รวมถึงให้ความรู้และเกิดการลงมือทำในกลุ่มลูกค้าผ่านหลักสูตร Mission X และการสัมมนาต่าง ๆ พร้อมทั้งพัฒนาทางเลือกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ๆ

ให้ตรงกับแนวทางธุรกิจของลูกค้า นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อนำมาสู่การมีโซลูชั่นสีเขียวร่วมกัน โดยในปี 2023 ธนาคารได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) ในรูปแบบต่างๆ ให้กับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ไปแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท

ธนาคารยังรักษาความเป็นผู้นำทางด้านสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ผ่านกลยุทธ์การปรับพอร์ตสินเชื่อให้มีอัตราผลตอบแทนกับระดับความเสี่ยงในสัดส่วนที่เหมาะสมและเร่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Mid Corp, Trade Finance and Supply Chain และธุรกิจที่เชื่อมโยงตลาด CLMVและจีน นอกจากนี้ ธนาคารยังประสบความสำเร็จในการให้ความช่วยเหลือและให้คำแนะนำลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 

ให้พร้อมกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างเป็นปกติ  พร้อมกันนี้ ธนาคารยังคงมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาโซลูชั่นการเงินให้แก่ลูกค้าธุรกิจ อาทิ Digital LG, FX Online เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ รวมถึงการพัฒนากระบวนการทำงานให้เป็นออโตเมชั่นเพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน จึงสามารถให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วและถูกต้อง

โดยในปี 2023 นี้ ธนาคารยังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่โดยให้ความไว้วางใจเลือกใช้ไทยพาณิชย์เป็นธนาคารหลักอันดับ 1 ในการดำเนินธุรกิจ จากผลการสำรวจลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ประจำปี 2566 เรื่องการใช้สินค้าและบริการธนาคารต่างๆ ในประเทศไทย (Market Positioning Study) จัดทำขึ้นโดยบริษัทวิจัยตลาด The BRS Co., Ltd.

ความสำเร็จจากการดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าว ส่งผลให้ธุรกิจขนาดใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับรางวัล แห่งความสำเร็จในปีนี้รวม 29 รางวัลจาก 7 สถาบันระดับโลก ครอบคลุมบริการหลักของธนาคาร อาทิ Best FX House – ธนาคารผู้ให้บริการปริวรรตเงินตราต่างประเทศยอดเยี่ยม, Best Investment Bank – ธนาคารวาณิชธนกิจยอดเยี่ยม,

Best Loan Adviser – ที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์สินเชื่อยอดเยี่ยม, Best Sustainability Loan – ดีลสินเชื่อที่เชื่อมโยงความยั่งยืนยอดเยี่ยม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการมอบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบความต้องการขององค์กรขนาดใหญ่ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพจนได้รับการยอมรับในระดับโลก

ไม่มีหมวดหมู่

ส่งเสริมศักยภาพเยาวชน: รณรงค์เพื่อ “สิทธิเด็ก”

วันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็น วันสิทธิเด็กสากล (Universal Children’s Day)” เนื่องจากต้องการให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก พร้อมร่วมกันรณรงค์ในเรื่องการปกป้องสิทธิของเด็ก ตั้งแต่สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่รอด ปลอดภัย มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ได้รับการศึกษาและพัฒนาการตามวัยอย่างเหมาะสม ตลอดจนได้รับการปกป้องคุ้มครองจากอันตราย การถูกละเมิด และถูกแสวงหาผลประโยชน์ 

ปัจจุบันยังคงมีเด็กและเยาวชนอีกมากมายที่ถูกละเลย ไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ความรุนแรงต่อเด็ก ความไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงการที่ไม่สามารถมีส่วนร่วมตัดสินใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยตรง สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่นานาชาติต่างให้ความสนใจ ในปี พ.ศ.2532

จึงได้เกิดเป็น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ทั้งหมด 54 ข้อ โดยมีใจความสำคัญเรื่องสิทธิเด็ก 4 ประเภท ซึ่งอนุสัญญาฯ นี้เป็นข้อตกลงด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ได้รับการรับรองมากที่สุดถึง 196 ประเทศทั่วโลก โดยมีประเทศไทยเป็น 1 ในภาคีสมาชิก และมีผลบังคับใช้ในฐานะที่เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ

อนึ่ง สิทธิเด็กนั้นเป็นสิทธิของเด็กทุกคนที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด จึงไม่มีผู้ใดสามารถไปตัดทอนหรือจำกัดการใช้สิทธิอันชอบธรรมของเด็กหรือละเมิดสิทธิของเด็กได้ ดังนั้น ในฐานะ ผู้ใหญ่เราทุกคนจึงควรตระหนักถึง สิทธิเด็กเป็นสำคัญ

สิทธิเด็ก 4 ประการขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรตระหนักและให้ความสำคัญดังนี้

 1. สิทธิที่จะมีชีวิตรอด (Right of Survival)

คือสิทธิในการอยู่รอดปลอดภัยตั้งแต่เมื่อคลอด ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเกิดมาปกติ หรือเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจก็ตาม

 2. สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา (Right of Development)

คือสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาตามมาตรฐาน ความเป็นอยู่และโภชนาการที่เหมาะสมตามวัย  รวมถึงการส่งเสริมเสริมพัฒนาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

 3. สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง (Right of Protection)

คือสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการล่วงละเมิด และการทารุณกรรมทุกรูปแบบ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการใช้แรงงานเด็กเพื่อแสวงหาผลประโยชน์

 4. สิทธิที่จะมีส่วนร่วม (Right of Participation)

คือสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การแสดงออกทั้งในด้านความคิดและการกระทำ รวมถึงการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่ออนาคตของตนเอง

ในฐานะที่มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ไม่ได้เป็นเพียงองค์กรที่ให้การช่วยเหลือเด็กกำพร้าเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งในช่วงระยะเวลาที่จำกัดเท่านั้น แต่มุ่งเน้นการเลี้ยงดูที่ครอบคลุมทุกด้านเหมือนเด็กในครอบครัวทั่วไป โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานบนพื้นฐานของ สิทธิเด็กเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิทธิที่จะมีส่วนร่วม เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ตนเองให้ความสนใจ ตลอดจนพัฒนาส่งเสริมศักยภาพเยาวชนที่สอดคล้องตรงกับความต้องการตลาดแรงงาน 

เด็กและเยาวชนในมูลนิธิเด็กโสสะฯ จะได้รับการส่งเสริมทั้งด้านการศึกษา และการผลักดันเพื่อสร้างส่วนร่วมในการอยู่ร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน โดยมีการส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ อาทิ กิจกรรมสภาเด็ก (Child Club) โดยเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้ลงคะแนนเสียง 1 สิทธิ์ 1 เสียง เลือกคณะกรรมการสภาเด็กของหมู่บ้านเด็กโสสะทั้ง 5 หมู่บ้าน 

เพื่อเป็นตัวแทนในการรวบรวมความคิดเห็นจากทุกคนในหมู่บ้าน สำหรับการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมกีฬาสี กิจกรรมพัฒนาทักษะ กิจกรรมการแข่งขันประกวดต่างๆ ในหมู่บ้านและท้องถิ่น เป็นต้น กิจกรรมสภาเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น เพื่อสร้างพื้นที่ในการแสดงออกซึ่งสิทธิและเสียงของเยาวชน ในการจัดกิจกรรมและโครงการเพื่อพัฒนาชุมชนที่อยู่อาศัยของตนเอง 

นอกจากนี้เยาวชนโสสะยังได้รับการส่งเสริมเพื่อพัฒนาทักษะด้านการประกอบอาชีพ ทั้งการอบรมความรู้ การฝึกงาน รวมถึงค่ายสร้างเสริมประสบการณ์ โดยในวันที่ 16 -20 ตุลาคมที่ผ่านมามูลนิธิเด็กโสสะฯ ร่วมกับ DHL Thailand ซึ่งประกอบด้วย DHL Express Thailand, DHL Global Forwarding, DHL Supply Chain

และ DHL eCommerce จัดกิจกรรม DHL Open House เปิดโลกโลจิสติกส์ต้อนรับเยาวชนโสสะเพื่อพัฒนาแรงบันดาลใจและทักษะวิชาชีพที่สำคัญให้กับน้องๆ จากหมู่บ้านเด็กโสสะหาดใหญ่ จ.สงขลา ทั้ง 10 คน ให้เข้ามาสัมผัสสถานที่ทำงานจริง พร้อมเปิดโลกของโลจิสติกส์ โดยมีพี่ๆ อาสาสมัครจาก DHL ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ตลอด 5 วันนี้ด้วย

มูลนิธิเด็กโสสะฯเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือจากภาครัฐองค์กรเอกชนและผู้มีจิตเมตตาจะช่วยให้เด็กและเยาวชนของเราได้รับสิทธิที่พึงมีสามารถสร้างหนทางสู่อนาคตและอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างมีคุณภาพ

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสิทธิเด็กให้กับครอบครัวโสสะได้ที่ 

เว็บไซต์https://www.sosthailand.org/donate-now

และรับชมคลิป Never Ending Family : ครั้งแรกที่เด็กกำพร้าจะได้ถ่ายรูปกับครอบครัวได้ที่https://youtu.be/7HEu1ANr6c4

ไม่มีหมวดหมู่

KKP จับมือยอดกูรูการลงทุน Howard Marks ฉายภาพการลงทุนในจังหวะการเปลี่ยนผ่านแห่งยุค 

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา An Afternoon with Howard Marks: Navigating Market Realities Through Sea Change ฉายภาพการลงทุนท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ (Sea Change) ผ่านมุมมองกูรูการลงทุนระดับโลกอย่าง Howard Marks 

และ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของประเทศ โดยงานสัมมนานี้จัดขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้า Wealth Management แบบเอกซ์คลูซีฟ เพื่อยกระดับการลงทุนและการบริหารความมั่งคั่งไปสู่โอกาสระดับโลก ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา 

นาย Howard Marks ผู้ก่อตั้งร่วมและประธานร่วม บริษัท โอ๊คทรี แคปิตอล แมเนจเมนท์ บริษัทจัดการสินทรัพย์ผู้นำด้านการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment)  ของโลกกล่าวว่าปัจจุบันตลาดทุนอาจกำลังประสบกับ “การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่” (Sea Change) ครั้งที่ 3 การเปลี่ยนผ่านครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงปี 1970-1980 ที่นักลงทุนได้เปิดรับแนวคิดว่าสามารถลงทุนในคุณภาพสินทรัพย์ระดับใดก็ได้ภายใต้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยง

การเปลี่ยนผ่านครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงปี 1980-1990 หลังจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูง และธนาคารกลางสหรัฐต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงร้อยละ 20 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ก่อนจะปรับลดก่อให้เกิดยุคของอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง และทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากว่า 40 ปี สำหรับในปัจจุบัน สภาวะเงินเฟ้อระดับสูง และอัตราดอกเบี้ยสูงอาจนับเป็นการเปลี่ยนผ่านสำคัญครั้งใหญ่ครั้งที่ 3

ที่นักลงทุนจำต้องปรับแนวคิดต่างไปจากเดิม อัตราส่วนระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เปลี่ยนไปสำหรับสินทรัพย์ทุกประเภท ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ (Debt Investing) มีความน่าสนใจ และบ่งบอกว่ากลยุทธ์การลงทุนที่สามารถใช้ได้ดีในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในอนาคตอีกต่อไป 

ด้าน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่าผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ระดับโลกที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ล้วนส่งผลกระทบมาถึงไทยไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประเด็นการเปลี่ยนผ่านระดับโลก ประเทศไทยยังมีความท้าทายเฉพาะตัว อันเนื่องมาจากอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลง การพึ่งพาอุปสงค์จากภายนอกที่มากขึ้น และความสามารถในการแข่งขันลดลง

ดังนั้น การรับมือกับปัจจัยภายนอกอย่างประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลก การทวงคืนตลาดการส่งออก การฟื้นคืนจำนวนนักท่องเที่ยว ตลอดจนการบริหารอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในด้านการศึกษา พลังงาน สิ่งแวดล้อม การเกษตร การเมือง หรือโครงสร้างประชากรจึงเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องพิจารณาเพื่อเตรียมรับกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น