เศรษฐกิจ

EXIM BANK จัดเต็ม! บริการทางการเงินและโปรโมชันพิเศษครบครัน ในงาน “มหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 24 (Money Expo 2024)”

ธนาคารเพื่อส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) จัดเต็ม! บริการทางการเงินและโปรโมชันพิเศษครบครัน ในงาน “มหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 24 (Money Expo 2024)” ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 16-วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2567 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี หมายเลขบูท H1

ชูแนวคิด “EXIM Greenovation” รับกระแส Go Green ของผู้ประกอบการ SMEs และบุคคลทำธุรกิจที่สนใจเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไฮไลต์สุดพิเศษ ประกอบด้วย

• สินเชื่อ EXIM GREEN START ดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.10% ต่อปี วงเงินสินเชื่อสูงสุด 200 ล้านบาท แถมวงเงิน Forward Contract สูงสุด 1 เท่าของวงเงินสินเชื่อ พิเศษ! ลงทะเบียนในงาน ลดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0.25% ต่อปี

• สินเชื่อ EXIM First Step Export Financing ดอกเบี้ยเริ่มต้น 5.35% ต่อปี วงเงินสินเชื่อสูงสุด 10 ล้านบาท แถมวงเงิน Forward Contract สูงสุด 1 เท่าของวงเงินสินเชื่อ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าสูงสุดไม่เกิน 1.25% ต่อปีของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ พิเศษ! ผู้ประกอบการ Size S ที่ลงทะเบียนในงาน ลดดอกเบี้ยปีแรก 0.25% ต่อปี

• บริการประกันส่งออก EXIM for Small Biz ป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อต่างประเทศ อัตราความคุ้มครอง 70% ของมูลค่าความเสียหาย พิเศษ! ลงทะเบียนในงาน รับฟรี! จำนวนจำกัด ค่าเบี้ยประกันผู้ซื้อ 1 ราย มูลค่า 8,000 บาท วงเงินคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท

พร้อมรับฟังการบรรยายจากผู้บริหารแบรนด์ดัง บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของธุรกิจผ่านความท้าทายสู่ความสำเร็จในตลาดโลก ตลอด 4 วัน ตามรอบกิจกรรม ทั้งนี้ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK มีกำหนดบรรยายเรื่อง เคล็ดลับขอสินเชื่อผ่านฉลุย ยอดขายปัง ในวันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2567 เวลา 14.40-15.00 น. ณ บูท EXIM BANK

พลาดไม่ได้! เลือกซื้อสินค้าคุณภาพส่งออกจากลูกค้า EXIM BANK อาทิ ของใช้สำหรับเด็กจากเส้นใยไผ่ธรรมชาติ สเปรย์บรรเทาปวดจากมะกรูด ปลาแผ่นทอดกรอบ และนม Plant-based จากถั่วลายเสือ เป็นต้น รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก http://www.exim.go.th หรือสอบถามที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999

สังคมเศรษฐกิจ, เศรษฐกิจ

EXIM BANK จับมือพันธมิตรสนับสนุน SMEs ไทยพัฒนาบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งออกยั่งยืน

นางสาวดรัสวันต์ ชูวงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยผู้บริหาร EXIM BANK ให้การต้อนรับ ดร.เกียรติพร หวังภัทรพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (OKMD) 

ดร.รัชนีวรรณ กุลจันทร์ ผู้อำนวยการ ห้องปฏิบัติการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) นางสาวอภิวันท์ รอเสนา ที่ปรึกษางานอุตสาหกรรมอาหารเกษตรและสุขภาพ โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) 

และนายภควัต วงศ์ไทย นักพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจและนวัตกรรมอาวุโส สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) ในฐานะคณะกรรมการคัดเลือกผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการ SMEs ที่สมัครเข้าร่วม “โครงการ SMEs Export Studio : Innovate for a Greener Future” 

เพื่อสนับสนุนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงินทุน รวมทั้งประกันการส่งออก กรณีไม่ได้รับการชำระเงินค่าสินค้า พร้อมเริ่มต้นเข้าสู่วงจรการค้าระหว่างประเทศและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567

เศรษฐกิจ

EXIM BANK เชิญผู้ประกอบการที่สนใจขยายธุรกิจสู่ตลาดการค้าออนไลน์ระดับโลกเข้าร่วมอบรมโครงการ “The Road to Global E-Commerce 2024”

ขอเชิญผู้ประกอบการที่สนใจขยายธุรกิจสู่ตลาดการค้าออนไลน์ระดับโลกเข้าร่วมอบรมโครงการ “The Road to Global E-Commerce 2024” จัดโดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

ร่วมกับ Ablibaba, AJ e-commerce, Hong Kong Trade Development Council (HKTDC) ในวันอังคารที่ 21 พฤษภาคม 2567 เวลา 9.00-16.00 น. ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่

ผู้เข้าร่วมอบรมโครงการจะได้รับการ “เติมความรู้” Global E-commerce Trends 2024 ชี้โอกาสการขายสินค้าออนไลน์และการเริ่มต้นธุรกิจส่งออก พร้อมช่องทางขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกกับ E-commerce Platform ระดับโลก

เช่น Alibaba ซึ่งมีจำนวนสมาชิก 305 ล้านคน และ Hong Kong Trade Development Council (HKTDC) ซึ่งมีจำนวนผู้ลงทะเบียนใช้บริการกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก อัปเดตข้อมูลการจัดการขนส่งสินค้า การบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ

พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ “เติมโอกาส” ความสำเร็จบนตลาดการค้าออนไลน์ รวมทั้ง “เติมเงินทุน” เพื่อเริ่มต้นธุรกิจส่งออกจาก EXIM BANK สมัครฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย รับจำนวนจำกัด ตั้งแต่บัดนี้-20 พฤษภาคม 2567

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 และติดตามข่าวสารของ EXIM BANK ได้ที่ Facebook Fanpage : EXIM Bank of Thailand, EXiM SMEs Plus และ Line Official : @EXIMThailand

การเงิน-หุ้น, เศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.81 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.81 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.75-36.84 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ตามการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ทว่าการแข็งค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

หลังราคาทองคำยังคงปรับตัวลดลงเข้าใกล้โซนแนวรับระยะสั้น นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการรีบาวด์ขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้น (1 ปี) และระยะยาว (5 ปี) ที่สำรวจโดยเฟด สาขานิวยอร์ก ออกมาสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้าราว +0.3pct และ +0.2pct ตามลำดับ

ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาวจากทั้งผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในสัปดาห์ก่อนหน้า และผลสำรวจโดยเฟดนิวยอร์กคืนวันจันทร์ (ตามเวลาประเทศไทย) ออกมาสูงขึ้นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวม S&P500 ปิดตลาด -0.02%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.02% โดยผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เพื่อรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งยุโรป ทั้ง GDP ไตรมาสแรกของยูโรโซน ข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ

รวมถึง รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการปรับตัวขึ้นของ Novo Nordisk +3.0% หลังยา Wegovy ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นยาลดน้ำหนัก

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงทรงตัวใกล้ระดับ 4.50% โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นบ้าง ตามรายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ล่าสุดที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง อนึ่ง เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้น หากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด

ทว่า หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.50% ได้อีกครั้ง เราก็ยังคงแนะนำให้นักลงทุนเน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip เนื่องจากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นมี Risk-Reward ที่คุ้มค่าเมื่อประเมินจากคาดการณ์ผลตอบแทนรวมในอีก 1 ปี ข้างหน้า และความเสี่ยงในกรณีที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับไปแตะระดับ 5.00%

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมแกว่งตัว sideways ในกรอบ โดยเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเพิ่มสถานะ Short JPY (มองเงินเยนอ่อนค่า) ขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์ก็ยังได้แรงหนุนจากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ

ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ต่างปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผลสำรวจไหนก็ตาม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวแถวระดับ 105.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 105-105.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.)

ยังคงอยู่ในช่วงการปรับฐาน และย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นแถว 2,340 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวบ้าง เพื่อรอลุ้นการรีบาวด์ที่อาจเกิดขึ้น หากรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด หรือชะลอลงมากกว่าคาด ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน ซึ่งอาจช่วยสะท้อนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด Jerome Powell

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษและทิศทางนโยบายการเงินของทางธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงาน ทั้งยอดการจ้างงานและการเติบโตของค่าจ้าง รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เช่นกัน

และในฝั่งไทย ควรรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัว sideways แถวระดับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI (ตลาดรับรู้ราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย) และถ้อยแถลงของประธานเฟด (ราว 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย)

ซึ่งต้องจับตาโซนแนวต้านระยะสั้น 36.85 บาทต่อดอลลาร์ ว่าเงินบาทจะสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้หรือไม่ เนื่องจากการอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวก็อาจเปิดโอกาสให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซน 37.00 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ เราประเมินว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าก็ยังคงมีอยู่บ้าง อาทิ โฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ

ขณะเดียวกัน บรรดานักลงทุนต่างชาติก็อาจยังไม่รีบกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม จนกว่าจะเห็นภาพแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ชัดเจนก่อน อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจชะลอลงบ้าง แถวโซน 36.90-37.00 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากบรรดาผู้ส่งออกบางส่วนก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าวบ้าง

ในกรณีที่ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซน 37.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก (ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมกับการปรับตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำ) ในทางกลับกัน เราคาดว่า หากดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ออกมาตามคาด หรือ ต่ำกว่าคาด อาจช่วยหนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 36.60-36.70 บาทต่อดอลลาร์ได้

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.65-36.95 บาท/ดอลลาร์

การเงิน-หุ้น, เศรษฐกิจ

รัฐมนตรีคลัง ตรวจเยี่ยมธนาคารออมสิน จ.เพชรบุรี

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมธนาคารออมสินสาขาเพชรบุรี ต.ไร่ส้ม อ.เมือง จ.เพชรบุรี ในโอกาสการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ที่จังหวัดเพชรบุรี

โดยมีนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับและรายงานผลการดำเนินงาน โดยธนาคารได้จัดพื้นที่ให้คำปรึกษาทางการเงินและหนี้นอกระบบ การให้บริการทางการเงินผ่านมาตรการสินเชื่อต่างๆ

เพื่อร่วมแก้ไขหนี้นอกระบบให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนเพื่อช่วยเหลือและรองรับลูกหนี้นอกระบบที่ไกล่เกลี่ยหนี้ในโครงการแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาล วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 20,000 บาท

อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1% ต่อเดือน ปลอดชำระเงินต้น 6 เดือนแรก ผ่อนชำระไม่เกิน 3 ปี ไม่ต้องใช้หลักประกัน และสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชนเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ ที่เกิดจากการประกอบอาชีพ หรือหนี้ที่เกิดจากการอุปโภคบริโภค

แต่ต้องไม่เป็นการนำไปรีไฟแนนซ์หนี้ในระบบ วงเงินอนุมัติสูงสุดไม่เกินรายละ 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 0.75 – 1% ต่อเดือน ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี สามารถใช้บุคคล หลักทรัพย์ หรือบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันได้

สำหรับผู้ที่ต้องการรีไฟแนนซ์ สามารถใช้สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคมให้แก่ลูกหนี้ 4 กลุ่ม ได้แก่ Re-Card รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้บัตรเครดิต Re P-Loan สำหรับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล Re-Nano สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย

และ Re-Home รับรีไฟแนนซ์สำหรับลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งจัดกิจกรรมฝึกอบรมสร้างงานสร้างอาชีพ การส่งเสริมความรู้ทางการเงินผ่านแอปออมตังค์ และโค้ชออมของธนาคาร โดยมีประชาชนในพื้นที่มาใช้บริการจำนวนมาก

นอกจากนี้ ได้มอบเงินสนับสนุนอาหารกลางวันในโครงการอิ่มนี้เพื่อน้อง ให้แก่โรงเรียนบ้านยางกลัดน้ำใต้ และโรงเรียนบ้านหนองโรง สนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ในโครงการคอมพิวเตอร์เพื่อสังคม

ให้แก่โรงเรียนบ้านแหลม โรงเรียนบ้านหนองหญ้าปล้องวิทยา และโรงเรียนอรุณประดิษฐ รวม 30 เครื่อง มอบทุนการศึกษา จำนวน 30 ทุนๆ ละ 5,000 บาท และมอบป้ายสนับสนุนเงินทุนและแก้ไขหนี้นอกระบบ จำนวน 10 ราย

โอกาสนี้ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมธนาคารปูม้า ต.แหลมผักเบี้ย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี พร้อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยได้ตรวจเยี่ยมโรงอนุบาลธนาคารปูม้า เยี่ยมชมสินค้าวิสาหกิจชุมชน และสนับสนุนการปรับปรุงโรงเรือน ทั้งนี้ ธนาคารปูม้าแหลมผักเบี้ย

เป็นหนึ่งในโครงการที่สำคัญภายใต้การดำเนินภารกิจเพื่อสังคม ตามแนวทาง ESG ของธนาคารออมสิน เพื่อส่งเสริมการทำประมงอย่างรับผิดชอบและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างถูกต้อง เหมาะสม

ทั้งการเพาะพันธุ์ก่อนปล่อยปูม้าลงสู่ทะเล เพิ่มโอกาสแพร่ขยายพันธุ์และเจริญเติบโตเข้าสู่วงจรชีวิตตามธรรมชาติ และมีปูให้จับเพื่อการอุปโภคบริโภค สร้างความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้ที่ยั่งยืนให้กับชุมชนและครอบครัวในระยะยาวต่อไป

การเงิน-หุ้น, เศรษฐกิจ

ออมสิน ออกสินเชื่อต้อนรับเปิดเทอม แบ่งเบาภาระผู้ปกครองตามนโยบายรัฐ ครอบคลุมค่าเทอม ชุดนักเรียน และอุปกรณ์ ดอกเบี้ยคงที่ 0.60% ต่อเดือน ผ่อนนาน 1 ปี

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลัง โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบายให้ธนาคารออมสินออกมาตรการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง

ที่ต้องเตรียมความพร้อมแก่บุตรหลานในช่วงเวลาเปิดภาคเรียน ซึ่งนักเรียนอาจต้องมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 3,000 – 9,000 บาท/ราย สำหรับใช้จับจ่ายซื้อชุดเครื่องแบบนักเรียน ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน รวมถึงค่าธรรมเนียมการศึกษา และค่าหลักสูตร เป็นต้น

ในการนี้ ธนาคารจึงเร่งออกมาตรการ “สินเชื่อธนาคารประชาชนต้อนรับเปิดเทอม” เพื่อช่วยเหลือลดภาระรายจ่ายของผู้ปกครองที่ต้องเตรียมจัดหาอุปกรณ์การศึกษาของบุตรหลาน ค่าเครื่องแบบ ค่าเรียน ฯลฯ ในช่วงเปิดภาคเรียน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่ร้อยละ 0.60 ต่อเดือน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 10,000 บาท

ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี (12 งวด) หรือคิดเป็นประมาณการค่างวดผ่อนชำระ 894 บาทต่อเดือน (รวมเงินต้นและดอกเบี้ย) สามารถกู้ได้โดยไม่ต้องมีหลักประกัน และไม่มีผู้ค้ำประกัน ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อยื่นขอสินเชื่อธนาคารประชาชนต้อนรับเปิดเทอมได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2567

เศรษฐกิจ

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ถอดบทเรียนการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมมาตั้งแต่อดีตสมัยเริ่มยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และมีปัญหามลพิษจากกากของเสียและสารอันตรายจากอุตสาหกรรมมาก จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ปัญหาและการจัดการปัญหาในอดีต เช่น กรณี โรคมินามาตะจากการปนเปื้อนสารปรอท โรคอิไตอิไตจากการปนเปื้อนสารแคดเมียม เป็นต้น

หลังจากนั้นประเด็นสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นประเด็นสำคัญของประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไปพร้อม ๆ กับ หรือการพัฒนาระบบบริหารจัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำอย่างในอดีต จนกลายเป็นประเทศชั้นนำในการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมและสารพิษต่างๆ

ประเด็นสำคัญที่ได้เรียนรู้จากประเทศญี่ปุ่นที่ได้ดำเนินการจัดการแยกหน่วยงานที่กำกับ อนุมัติ อนุญาต กิจการโรงงานอุตสาหกรรม กับการดูแลสิ่งแวดล้อมออกจากกัน โดยโรงงานอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอนุมัติ อนุญาต ส่วนปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม การจัดการ การกำกับดูแล อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดความสมดุลและธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ

ญี่ปุ่นมีการจัดการกากของเสียและสารพิษมีระบบที่ชัดเจน ทั้งประเภทของกากของเสียหรือสารพิษต่างๆที่เกิดขึ้น การอนุมัติ การอนุญาต การเคลื่อนย้ายและขนส่ง ระบบการระบบติดตามและรายงาน การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ ตลอดจนความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ชัดเจน พร้อมทั้งมีระบบบำบัดมลพิษที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานสูง การบำบัดและกำจัดที่ครบวงจร เปิดเผยและตรวจสอบได้

กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการลงนามในบันทึกความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการของเสีย ให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล อีกทั้งการจัดการของเสียอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยังถือเป็นภารกิจสำคัญ

ครั้งล่าสุดได้มีโอกาสไปดูงานและหารือความร่วมมือในการขับเคลื่อนแผนแม่บทการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมและการนำการวิจัยและเปลี่ยนนัดวิจัยด้านการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรม กับ ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการของเสีย (Hub of Talents on Waste Management) ซึ่งสนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้การดำเนินการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและภาคีเครือข่าย

ดร. วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI เล่าถึงการตรวจเยี่ยม Tokyo Water Front Eco Clean มีโรงงานกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรม โรงงานกำจัดขยะติดเชื้อ และโรงงานจัดการซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีหลักการนำของเสียที่ใช้ประโยชน์ได้ให้มากที่สุด ที่เหลือไปจัดการตามคุณสมบัติของของเสีย โดยระบบการเผาที่มีประสิทธิภาพสูง ที่ใช้ระบบปิดและระบบบำบัดมลพิษ  ที่ระดับอุณหภูมิสูงพอที่จะไม่ให้เกิดสารพิษประเภทสารก่อมะเร็ง

เช่น ไดออกซิน และฟิวแรน เมื่อมีกากของเสียเกิดขึ้นสุดท้ายก็จะมีการทดสอบและนำไปใช้ประโยชน์หรือถมพื้นที่ทะเล และการหารือกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม ในประเด็นต่างๆ เช่น การช่วยประเทศไทยในการจัดทำแผนแม่บทการจัดการกากอุตสาหกรรมของประเทศไทย การยกระดับการควบคุมการอนุญาตนำเข้า/ส่งออกของเสียอันตรายระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ตามอนุสัญญาบาเชล (Basel Convention) และ แนวทางการออกกฎหมาย จัดการซากผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

ในส่วนของประเทศไทยแม้จะมีกฎหมายที่เข้มงวดและชัดเจนในหลายประเด็น ทั้งกฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม กฎหมายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข เป็นต้น ที่ได้กำหนดชนิดและขนาดโรงงาน การควบคุมการปล่อยของเสียหรือมลพิษ การกำหนดคุณสมบัติของผู้ควบคุมดูแล ผู้ปฏิบัติงานประจำ และการกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ควบคุมดูแลระบบจัดการสิ่งแวดล้อม

รวมทั้งการขนส่ง เคลื่อนย้าย การจัดการต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง แต่ในช่วงหลัง ๆ จะมีปัญหาการจัดการกากของเสียและสารอันตรายในพื้นที่ต่าง ๆ เกิดขึ้นถี่และก่อให้เกิดความสูญเสียจำนวนมาก กรณีการลอบวางแพลิง กรณีโรงการไฟไหม้ สารอัตรายรั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อมและส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน 

จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ ปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นก็จะเพิ่มตามไปด้วย ในขณะที่ระบบการจัดการกากของเสียมีอยู่จำกัดประกอบกับระบบการอนุมัติ อนุญาต การติดตาม ประเมินผลการดำเนินการยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ แม้กระทั้งการรายงานชนิดและปริมาณกากของเสียจากอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละปี

ทำให้กากของเสียทีมีเอกชนรับบำบัดกำจัดถูกทิ้งในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่เอกชน รวมทั้งในสถานประกอบการที่ไม่มีระบบจัดการที่ดี จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และหากการเกิดเพลิงไหม้ ความสูญเสียและผลกระทบก็สูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะสารไวไฟและสารพิษต่าง ๆ ประกอบกับในช่วงอุณหภูมิอากาศที่สูงขึ้น

โรงงานอุตสาหกรรมประเภท 101 ประเภท 105 และ ประเภท 106 ที่เกี่ยวกับการรีไชเคิล การรับจัดการของเสีย แม้ที่ผ่านมาจะมีการผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆไปบ้าง เพื่อส่งเสริมให้มีโรงงานจำนวนมากทันต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นโรงงานที่มีความอ่อนไหวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน

จึงจำเป็นจะต้องมีการทบทวน วางกฎเกณฑ์ ระบบตรวจสอบและควบคุมที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ นี่เป็นจังหวะและโอกาสที่ประเทศไทยจะต้องทบทวนการดำเนินการเพื่อให้เกิดความสมดุลด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการยอมรับและลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ดร. วิจารย์ กล่าวทิ้งท้าย

อสังหาริมทรัพย์, เศรษฐกิจ

“คลินิกแก้หนี้ by SAM” ปิด Q1 สวย ชูคนไทยร่วมมือช่วยชาติลดหนี้ครัวเรือน ดันยอดใบสมัครไตรมาสแรกพุ่ง

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า  ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2567 ของ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” เป็นที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  

โดยพบว่ามีจำนวนผู้ยื่นใบสมัครเข้าร่วมโครงการมากถึง 20,267ราย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ซึ่งจำนวนผู้ผ่านคุณสมบัติและอยู่ระหว่างรอเอกสารตรวจสอบ มีจำนวนรวม 14,311 ราย หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ในไตรมาสแรกปี 2567 มีจำนวนผู้ที่ทยอยลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้วจำนวน 7,145 รายหรือ 19,757 บัญชี  เพิ่มขึ้น 2.3 เท่า คิดเป็นภาระหนี้เงินต้นรวม 1,616 ลบ.

ปัจจุบัน “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” มีลูกค้าตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 46,720 ราย คิดเป็น 129,950 บัญชี  รวมภาระหนี้เงินต้นคงเหลือตามสัญญา 9,460 ล้านบาท  ค่าเฉลี่ยเงินต้นคงเหลือตามสัญญารายละ 202,440 บาท

ภาระหนี้ของผู้เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 50,000 – 200,000 บาท และอยู่ใน Gen Y กับ Gen X สัดส่วนร้อยละ 61 และ 35 ตามลำดับ จำนวนบัญชีเฉลี่ย 2.7 บัญชีต่อราย และมีค่างวดผ่อนชำระเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 2,470 บาท โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระเฉลี่ยอยู่ที่ 92 เดือน

นอกจากนี้ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” พบว่าลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการตั้งแต่ยังไม่ดำเนินคดีมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น คาดว่ามาจากปัญหาหนี้ส่วนบุคคลเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเป็นเรื่องใกล้ตัว จึงต้องการแก้ไขปัญหาหนี้เร็วขึ้น

รวมทั้งความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่ช่วยกันสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการคลินิกแก้หนี้ ส่งผลให้ประชาชนรู้จักและเริ่มสนใจการแก้ไขปัญหาหนี้ด้วยวิธีการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้นด้วย 

“ความสำเร็จของ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ดังกล่าว เป็นผลมาจากความร่วมมือกันระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งสถาบันการเงินต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการกว่า 32 แห่งในการปรับเกณฑ์คุณสมบัติใหม่ให้กับลูกค้าที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) บัตรเครดิต บัตรกดเงินสดและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ค้างชำระเกินกว่า 120 วัน (ตามรายงานเครดิตบูโร

ณ เดือนปัจจุบันมีสถานะค้างชำระตั้งแต่ 121-150 วัน ขึ้นไป) ให้สามารถเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้เลย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ปี 66  ที่ผ่านมา จากเดิมที่ต้องกำหนดช่วงเวลาของการเป็นหนี้เสียในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลให้ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” 

สามารถช่วยเหลือผู้ที่เป็นหนี้เสียและผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาหนี้เสียได้รวดเร็วขึ้น รวมไปถึงเงื่อนไขการผ่อนชำระและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ รวมทั้งระยะเวลาการผ่อนชำระที่ยาวสูงสุดถึง 10 ปี  ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้มีความเป็นไปได้มากขึ้น  

ขณะที่ประชาชนเองก็เกิดความตื่นตัวและหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขหนี้สินของตัวเองมากขึ้น  นับว่าปัจจัยเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของคนไทยให้ลดลงโดยเร็วและส่งผลให้จำนวนผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มสูงขึ้น 

โดยปี 2567 นี้ คาดว่าจะมีจำนวนลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกับโครงการฯ ได้ไม่น้อยกว่า 55,000 บัญชี

นางสาวนารถนารี กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” เริ่มดำเนินการเมื่อเดือน มิ.ย. 60 ถึง 31 มี.ค.2567 ได้ช่วยเหลือคนไทยและอีกหลายชีวิตในแต่ละครัวเรือนปลดหนี้สิน สามารถลุกขึ้นยืน กลับมาดำเนินชีวิตและธุรกิจต่อไปได้  

โดยมีจำนวนลูกค้าที่ชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว 2,047 ราย หรือ 5,037 บัญชี คิดเป็นภาระหนี้เงินต้นตามสัญญาฯ รวมทั้งสิ้น 288 ล้านบาท หรือชำระหนี้เสร็จสิ้นไปแล้วร้อยละ 3.35 โดยลูกค้าส่วนใหญ่สามารถผ่อนชำระเสร็จสิ้นได้ก่อนกำหนดระยะเวลาตามสัญญา

ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของ SAM ในการให้โอกาสลูกค้า สรุปจำนวนเงินที่ได้รับชำระจากลูกค้าใน “ โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ตลอด 7 ปีตั้งแต่เริ่มดำเนินการ คิดเป็นเงินรวมแล้วสูงถึง 2,700 ล้านบาท  นับว่า “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM”  

เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนและลดปริมาณหนี้เสียของระบบสถาบันการเงินในประเทศ  รวมทั้งช่วยเหลือ ฟื้นฟู และดูแลคนไทยที่มีปัญหาหนี้สินกลับมายืนได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นคง แข็งแรงโดยเร็วที่สุด  อันเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม  

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่ายังมีลูกค้าบางส่วนที่ต้องออกจากโครงการก่อนหมดระยะเวลาสัญญา เนื่องจากผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้น “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM”  จึงขอแจ้งให้ลูกค้าทราบว่า หากพบว่าตนเองเริ่มมีปัญหาการผ่อนชำระค่างวด และมีแนวโน้มว่าไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของโครงการฯ ได้ ก็ขอให้รีบติดต่อกับโครงการเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป 

“โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM”  ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียประเภทบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน มีหนี้ค้างชำระมากกว่า 120 วัน ด้วยอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพียงร้อยละ 3-5 ต่อปี และระยะเวลาผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี

โดยมีทางเลือกการปรับโครงสร้างหนี้ เป็น 3 ทางเลือก คือ  1. ผ่อนชำระไม่เกิน 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี   2. ผ่อนชำระนานกว่า 4 ปี ไม่เกิน 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี  3. ผ่อนชำระนานกว่า 7 ปี ไม่เกิน 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี โดยมีคุณสมบัติของผู้สมัคร คือเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ มีอายุไม่เกิน 70 ปี มียอดหนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท

“โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-19.00 น. ที่ชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน (โซนลิฟท์แก้ว) ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ (BTS สถานีรัชโยธิน) หรือสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านช่องทางออนไลน์

ทั้งเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com  หรือ แอดไลน์ @debtclinicbysam และ Facebook คลินิกแก้หนี้ by SAM หรือติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่Call Center 1443

สังคมเศรษฐกิจ, เศรษฐกิจ

EXIM BANK บ่มเพาะผู้ส่งออก SMEs ภายใต้โครงการ “EXIM เพื่อคนตัวเล็ก”

นางสาวดรัสวันต์ ชูวงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมผู้บริหารและพนักงาน EXIM BANK ร่วมอุดหนุนสินค้าจากบริษัท ดัชเชส จำกัด ผู้จำหน่ายเครื่องชงกาแฟและกาแฟแคปซูลแบรนด์ “ดัชเชส” (Duchess) มาตรฐาน GMP, HACCP และ Halal ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ผ่านการบ่มเพาะจาก EXIM BANK 

และได้รับการจัดสรรพื้นที่ให้นำสินค้าคุณภาพส่งออกมาจำหน่ายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใต้โครงการ “EXIM เพื่อคนตัวเล็ก” หนึ่งในโครงการที่ EXIM BANK จัดขึ้นตลอดปี 2567 เพื่อช่วยเหลือและเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2567

สังคมเศรษฐกิจ, เศรษฐกิจ

EXIM BANK ร่วมงาน Thai Food and Fruit Festival 2024 ส่งเสริมการจำหน่ายอาหาร ผลไม้ และสินค้าไทยในตลาดอาเซียน

นางวรางคณา วงศ์ข้าหลวง รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลอาหารและผลไม้ไทย (Thai Food and Fruit Festival 2024) ซึ่งเป็นกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายอาหาร ผลไม้ และสินค้าไทย ภายใต้โครงการ In-store Promotion ในภูมิภาคอาเซียน

จัดโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ (สคต.) ร่วมกับก๊อกก๊อก เอ็ม มาร์ท ซูเปอร์มาร์เก็ต สาขาโพนสีนวน สปป.ลาว ระหว่างวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2567 โดยมีนางสาวมรกต ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ เป็นประธานในการเปิดงาน และนายกวิน วิริยะพาณิชย์ ผู้อำนวยการ สคต. ให้การต้อนรับ ณ เวียงจันทน์ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567