การเงิน-หุ้น, เศรษฐกิจ

ออมสิน ชูเงินฝากดอกเบี้ยสูง 21% ต่อปี / สลากออมสิน 1 ปี แจกเพิ่มทองคำแท่ง 10 กิโลกรัม ฉลอง 111 ปี พร้อมอัดแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ในงาน Money Expo 2024 กรุงเทพ 16 – 19 พฤษภาคม 2567

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 24 Money Expo 2024 ด้วยโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าและผู้เข้าร่วมชมงานภายในงานนี้เท่านั้น โดยได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ภายใต้แนวคิด “Providing value TOWARDS a sustainable FUTURE : มอบคุณค่า สู่การส่งต่ออนาคตที่ยั่งยืน”

โดยเอาใจผู้ที่รักการออมกับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 111 วัน ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 21% ต่อปี หรือเทียบเท่าเงินฝากประจำ 4.70% ต่อปี เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ฝากได้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย โดยสามารถจองสิทธิ์ภายในงานนี้เท่านั้น จำนวนจำกัดวันละ 200 สิทธิ์ และ 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ 

นอกจากนี้ ยังแจกรางวัลเพิ่มต่อเนื่อง ฉลอง 111 ปี ลุ้นรับทองคำแท่ง 10 กิโลกรัม รวมมูลค่ากว่า 26.5 ล้านบาท เพียงรางวัลเดียว สำหรับผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ทั้งแบบใบสลากและสลากดิจิทัล งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เริ่มรับฝากตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม – 15 กรกฎาคม 2567

สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ธนาคารมีมาตรการรีไฟแนนซ์ ภายใต้โครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” รับรีไฟแนนซ์หนี้เดิม อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยลดภาระแก่ลูกหนี้ทุกกลุ่ม ได้แก่ สินเชื่อออมสิน Re P-Loan สำหรับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 100,000 บาท ไม่ต้องมีหลักประกัน

ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปีสินเชื่อออมสิน Re-Nano สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย สินเชื่อ Nano Finance อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 8 ปี ใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการค้ำประกันการกู้ได้

ส่วนผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น สามารถเลือก สินเชื่อออมสิน Re-Homeวงเงินกู้ 1-5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีแรกอยู่ที่ 1.95% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.95% ต่อปี กรณีผู้กู้ประสงค์ทำประกันฯ) พร้อมเงื่อนไขผ่อนต่ำ ปีที่ 1 ผ่อนชำระเงินงวดล้านละ 3,000 บาท/เดือน 

และสินเชื่อธุรกิจ GSB Re-Biz+ สำหรับผู้ประกอบการทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ที่ต้องการ รีไฟแนนซ์/รวมหนี้มาผ่อนชำระกับธนาคาร คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2 ปีแรก 3.49% ต่อปีวงเงินกู้เท่ากับวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินเดิม สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทน

อกจากนี้ ได้จัดโปรโมชันสินเชื่อเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ชุดใหญ่ เพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และผู้ประกอบการเกิดสภาพคล่องมีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ได้แก่ สินเชื่อบ้านออมสินเพื่อคนไทย สำหรับซื้อหรือปลูกสร้างบ้าน วงเงินกู้ไม่เกิน 7 ล้านบาท ผ่อนชำระปีแรกเพียงล้านละ 2,500 บาท/เดือนอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.95% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปีแรก2.95% ต่อปี) 

และสามารถกู้เพิ่มเติมเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน หรือสิ่งจำเป็นอื่นในการเข้าอยู่อาศัย โดยใช้ สินเชื่อ Top Up อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรกคงที่ 3.49% ต่อปี หลังจากนั้น MRR-0.25% และสามารถเลือกชำระเงินงวดแบบผ่อนต่ำปีที่ 1-3 ล้านละ 4,000 บาท/เดือนได้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ภายในงาน 

และจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 จำนวน 111 รายแรก จะได้รับ Central Gift Card มูลค่า 1,000 บาท ต่อวงเงินกู้สินเชื่อเคหะ 1 ล้านบาทส่วนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารได้จัด สินเชื่อ GSB D-HOME สร้างบ้านเพื่อคนไทย และสินเชื่อ GSB D-HOME กระตุ้นเศรษฐกิจ 

โดยกู้ไม่จำกัดวงเงิน และระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 4 ปี พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมต่างๆ พร้อมนี้ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกกับ “ออมสินเมตาเวิร์ส : GSB Metaverse” บูทธนาคารออมสินเสมือนจริง โดยลูกค้าสามารถเล่นกิจกรรมเก็บเหรียญภายในห้องต่างๆ ในโลกออมสินเมตาเวิร์ส ให้ครบ 20 เหรียญ 

และลงทะเบียนลุ้นรับของรางวัลส่วนลด Code Shopee มูลค่า 100 บาท วันละ 111 รางวัล รวมถึงยังมีกิจกรรมและของรางวัลพิเศษจำนวนมากตลอดทั้งงาน สำหรับงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 24 Money Expo 2024 ภายใต้แนวคิด “Digital Finance for All การเงินดิจิทัล เพื่อทุกคน” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 – 19 พฤษภาคม 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

การเงิน-หุ้น

บลจ.อเบอร์ดีนมองหุ้นไทยความเสี่ยงขาลงจำกัดคาดอัตรากำไรบจ.พลิกกลับมาโต 10%

บลจ.อเบอร์ดีน มองหุ้นไทยโอกาสฟื้นตัว แรงหนุนจาก 3 ปัจจัย”เศรษฐกิจไทยฟื้น-กำไรบจ.ปี 2567 พลิกกลับมาเติบโต 10% – Valuation หุ้นอยู่ระดับน่าสนใจ” 

พร้อมลุ้นกนง.หั่นดอกเบี้ยหนุนตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง มองจังหวะทยอยสะสมหุ้นบริษัทคุณภาพดี แนวโน้มเติบโตโดดเด่นกว่าตลาด  แนะนำกองทุน ABSM เน้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก มีศักยภาพเติบโตแข็งแกร่ง

นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อเบอร์ดีน มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อตลาดหุ้นไทยใน 6-12 เดือนข้างหน้า และมองความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานลงต่อมีค่อนข้างจำกัด จึงเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้น รับเศรษฐกิจไทย

ที่คาดว่าจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีชัดเจนขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้ และน่าจะส่งผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติกลับมาเข้ามาลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ได้ แต่การลงทุนยังคงต้องระมัดระวังและเน้นเลือกหุ้นรายตัวที่มีโอกาสเติบโตโดดเด่นกว่าตลาดโดยรวม

สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมองว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1 และคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้ หลังจากงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลประจำปี 2567 ผ่านการอนุมัติในช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา 

ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเร่งเบิกจ่ายตั้งแต่เดือนพ.ค. ทั้งนี้ เรายังคงต้องติดตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วยว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามแผนในไตรมาส 4 ปีนี้หรือไม่

2.การเติบโตของอัตรากำไรบจ.ในตลาดหุ้นไทย (SET Earning Per Share: SET EPS) คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% ในปี 2567 (ที่มา abrdn เมษายน 2567) ซึ่งฟื้นตัวจาก -11% ในปีที่ผ่านมา (ที่มาBloomberg เมษายน 2567) 

โดยมองว่ายังมีหลายกลุ่มธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ชัดเจน (earnings visibility) และเติบโตดีกว่าภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว,พาณิชย์,การแพทย์,นิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม

3.Valuation ยังไม่แพง ซึ่งที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลดลงแตะระดับ 1,330 จุด ทำจุดต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่วิกฤติโควิด จากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นแรงเกิดคาด รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงมากขึ้น 

ทำให้เงินลงทุนไหลกลับไปสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อย่างไรก็ตาม SET Index ปรับฐานลงมาอยู่ในระดับน่าสนใจ ด้วย forward P/E  ที่ 14 เท่า คิดเป็นอัตราส่วนลด (discount) 18% จากค่าเฉลี่ย P/E ในอดีต10 ปี ซึ่ง อยู่ที่ 17 เท่า (ที่มา Bloomberg เมษายน 2567)

นอกจากนี้เมื่อเทียบส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกับผลตอบแทนจากพันธบัตร (earnings yield gap) ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 4.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.6%   สะท้อนถึงจังหวะที่น่าสนใจลงทุน 

เมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ 2.72% อีกทั้ง SET Index ณ ระดับปัจจุบันสะท้อนการเติบโตของกำไรต่อหุ้นปีนี้น้อยกว่า 2% ซึ่งสะท้อนความกังวลต่อความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของกำไรบจ.ไปมากแล้ว (ที่มา Bloomberg เมษายน 2567)

“อเบอร์ดีนยังเห็นโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้ หากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เริ่มมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากแนวโน้มของการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น 

ซึ่งหากย้อนดูสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 2544 จะพบว่า 4 ใน 5 ครั้งที่ ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นแรงถึง 20-30% โดยมีเพียงครั้งเดียวที่ตลาดไม่ได้ขึ้นแรง คือก่อนที่จะเกิดวิกฤติโควิดในปี 2562 

ดังนั้น แม้ว่าปัจจัยภายนอกประเทศจะกดดันความเชื่อมั่นในการลงทุนตลาดหุ้นไทยไปบ้างแต่เรามองว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เริ่มทยอยเข้าสะสมหุ้นในบริษัทที่มีคุณภาพและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว” นางสาวดรุณรัตน์กล่าว

ทั้งนี้ อเบอร์ดีนยังเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก โดยเน้นการคัดสรรหุ้นรายตัวและวิเคราะห์เชิงลึกในแต่ละบริษัท โดยเฉพาะหุ้นที่valuation ยังไม่แพงและมีศักยภาพแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าตลาดในระยะยาวอย่างน้อย 1-3 ปี

สำหรับกองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีนสมอล-มิดแค็พ (ABSM) เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นได้ประโยชน์จากการเติบโตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศไทย 

เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์ที่บริษัททั่วโลกย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปสู่ประเทศอื่น ๆ  ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ ABSM ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาทำได้ดีกว่าดัชนีชี้วัด (SET TRI) 

โดยหุ้นที่ถือครองในพอร์ตอันดับต้นๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้วยแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทที่แข็งแกร่งในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มการแพทย์ กลุ่มไอที และกลุ่มธุรกิจบริการเฉพาะกิจ (professional services) แม้จะมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ 

จากผลตอบแทนโดดเด่นช่วงก่อนหน้า(ตั้งแต่ ธันวาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 ที่มา Bloomberg)  ประกอบกับการเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้น จากการฟื้นตัวที่ช้าในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

“ที่ผ่านมาหุ้นขนาดกลางและเล็กเคลื่อนไหวไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดโดยรวม แต่ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทมากกว่า จึงมองจังหวะที่ตลาดปรับฐานเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีคุณภาพดีและราคาปรับตัวลงจนน่าสนใจขึ้น

ขณะที่พอร์ตการลงทุนของ ABSM ก็มีโอกาสเติบโตสูงกว่าตลาด โดยคาดการณ์ EPS ของพอร์ตลงทุนจะเติบโตประมาณ 19.3% ในปีนี้(จากประมาณการณ์ของ Bloomberg เมษายน 2567)” นางสาวดรุณรัตน์กล่าว  ทั้งนี้ ABSM มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 6

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต 

ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการนำเสนอข้อคิดเห็นซึ่งอาจแตกต่างจากเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้และไม่ได้เป็นการแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน  น้ำหนักและธีมการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวน โทร 02-352-3388 Email: client.services.th@abrdn.com

การเงิน-หุ้น, ธุรกิจ

WICE มั่นใจปีนี้โตตามเป้า 20% หลังค่าระวางเรือปรับขึ้น เดินหน้าตามแผนขยายการลงทุน ครอบคลุมเครือข่ายโลจิสติกส์ครบวงจร

บมจ. ไวส์ โลจิสติกส์ หรือ “WICE” มั่นใจผลงานปีนี้มาตามนัด เผยผลงานไตรมาส 1/67กวาดรายได้ 976 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 39ล้านบาท หลังอัตราค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้น

ประกอบกับปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น ย้ำรายได้ปีนี้โตไม่น้อยกว่า 20% ลั่นเดินหน้าตามแผนต่อเนื่อง พร้อมแย้มศึกษาลงทุนขยายธุรกิจใหม่ต่อเนื่อง หวังสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยถึงผลดำเนินการไตรมาส 1/67 ว่า บริษัทมีรายได้รวมที่ 976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95% จากไตรมาสก่อน

เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากชะลอตัวในปีที่ผ่านมา รวมถึงอัตราค่าระวางเรือที่มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณการนำเข้าและส่งออกฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย 

สำหรับปี 2567 บริษัทมั่นใจว่า การดำเนินงานจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังอัตราค่าระวางเรือที่มีการปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการขยายธุรกิจใหม่ๆของ WICE ที่จะทยอยสร้างรายได้เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจการให้บริการขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง จาก สปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบัง  รวมถึงการให้บริการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบ

จากบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ซึ่งเป็นโครงการทดลองระบบการขนส่งระยะไกลด้วยยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงกลางปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายพื้นที่ในการบริหารคลังสินค้าใหม่ โดยบริษัทฯ ได้วางตั้งเป้าขยายพื้นที่อีก 20,000 ตารางเมตรในปีนี้ 

“ทิศทางของผลการดำเนินงานหลังจากนี้ เราเชื่อว่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากงบไตรมาส 1/2567 ที่ออกมาล่าสุด เติบโตขึ้นกว่าไตรมาส 4/2566 ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสถัดๆ ไป ประกอบกับธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทฯ ได้ลงทุนขยายไป ก็เริ่มดำเนินการได้ ซึ่งก็จะหนุนให้ผลประกอบการของ WICE ในปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วาง 

ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้ผลประกอบการดีต่อเนื่อง จะมาจากจำนวนงานจากลูกค้าเดิมเพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทฯ ได้ขยายงานไปในช่วงที่ผ่านมา ก็จะเริ่มสร้างรายได้เข้ามาตั้งช่วงกลางปีนี้ ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการผลักดันผลการดำเนินให้กับบริษัทฯ ด้วย” นายชูเดช กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ จะเป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มผู้ผลิตอาหาร และกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นหลัก ซึ่งลูกค้าหลักของบริษัทฯ ยังคงถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ขาขึ้นทั้งหมด

โดยตลาดหลักๆ ที่บริษัทฯ ให้บริการยังคงเป็นประเทศในเอเชีย และอเมริกา เป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันทั้งตลาดอเมริกา และตลาดเอเชีย อย่างจีนที่เป็นตลาดหลัก เริ่มมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็น่าจะส่งผลให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมมีการกระเตื้องขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงมีการศึกษาลงทุนขยายธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างรายได้จากหลากหลายช่องทาง สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับบริษัทฯ โดยกลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ มีความสนใจในธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อจะขยายเครือข่ายให้กว้างขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถขยายไปยังตลาดใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้นด้วย

ตลาด, ธุรกิจ

“ไทวัสดุ” ในเครือเซ็นทรัล รีเทล จุดพลุรายได้ปี 66 ทะลุ 4 หมื่นล้าน วางเป้า “No.1 Omnichannel DIY Home Retailer”ชูกลยุทธ์โตแบบยั่งยืน ใน 5 ปี พร้อมกวาดรายได้ 7 หมื่นล้าน

บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้แบรนด์ไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม เผยความสำเร็จจากปี 2566 ยอดขายทะลุเป้ากว่า 40,000 ล้านบาท ด้วยงบลงทุนรวม 7,000 ล้านบาท

พร้อมกางกลยุทธ์ 5 ปี “No.1 Omnichannel DIY Home Retailer : Driving Sustainable Growth” เร่งเครื่องสู่ความเป็นสุดยอดผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านในทุกชาแนล รุกเดินหน้าขยาย Hybrid Format (White Format) “ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม” พุ่งเป้าเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ปี 2566 นับเป็นปีแห่งความสำเร็จของซีอาร์ซี ไทวัสดุ ที่มียอดขายรวมโตสูงสุด 40,000 ล้านบาท จาการดำเนินธุรกิจตลอด 14 ปีที่ผ่านมา ภายใต้งบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อปีที่ 11%  

โดยนอกจากความสำเร็จในเชิงรายได้แล้ว ยังได้มุ่งเร่งแผนการขยายสาขาไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮมทุกฟอร์แมตถึง 14 สาขา ภายในปีเดียว ถือว่าเป็นปรากฏการณ์การเติบโตที่สวนกระแสเศรษฐกิจ ทำให้ภาพรวมมีจำนวนสาขาถึง 90 แห่ง ครอบคลุม 47 จังหวัดทุกภูมิภาค

ในภาพของการเติบโตของช่องทางการขายออนไลน์ตั้งแต่ปี 2563 – 2566 ที่ได้รับแรงผลักดันต้องปรับตัวจาก วิกฤติ COVID 19 และ Digital Disruption ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค จึงทำให้เร่งพัฒนาระบบ E-Commerce เพื่อขายสินค้าและให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์เต็มรูปแบบทุกช่องทาง

พัฒนาเพื่อสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งแบบไร้รอยต่อ ซึ่งมียอดขายพุ่งแตะระดับ 1,400 ล้านบาท ภายในเวลา 4 ปี อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ถึง 145% มีลูกค้าใหม่ที่ ช็อปออนไลน์มากกว่า 5,000 คน/เดือน ครองใจลูกค้าเดิมให้มีการซื้อซ้ำถึง 60%

และซื้อเฉลี่ย (basket size) สูงขึ้น 12%YoY โดยจำนวนลูกค้าในภาพรวมที่ซื้อทั้งหน้าร้านและออนไลน์ (Omnichannel Customers) เติบโตสูงขึ้น 46%YoY จากตัวเลขดังกล่าวช่วยการันตีได้ว่าในทุกช่องทางการขายสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

นายสุทธิสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสำเร็จที่ผ่านมา ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ได้ดำเนินธุรกิจและยึดมั่น Core value ในด้านของราคา และคุณภาพเป็นหลัก ภายใต้แนวคิด Low-Cost Business Model โดยมี 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1) Adequate Staff การจัดจ้างพนักงานในจำนวนที่เหมาะสมกับขนาดของแต่ละพื้นที่สาขา และพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

2) No Fancy Decor การตกแต่งสาขาเรียบง่าย และการจัดวางดิสเพลย์ที่เน้นใช้งานได้จริง

3) Big Volume Order การซื้อและจัดหาสินค้าที่เน้น Volume สูง เพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำ แต่ยังคงคุณภาพที่ดีทำให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าในราคาที่คุ้มค่าและถูกกว่าที่อื่น

นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาขีดความสามารถด้านปฏิบัติการ (In-House Operations) ด้วยความเชี่ยวชาญของบุคลากร เพื่อช่วยลดต้นทุนภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริหารจัดการขนส่ง (Own Transport Fleet) ด้านการออกแบบ (Store Design) 

และการมีบุคลาการทางด้านไอที (IT Management) เพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ภายในองค์กร ทำให้ลดการพึ่งพาจากหน่วยงานภายนอก ส่งผลดีต่อลูกค้าที่สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ในราคาย่อมเยา

ในส่วนของการยกระดับประสบการณ์ ช็อปให้ตรงใจลูกค้า Customer Oriented Category Development ด้วยการเพิ่มไลน์สินค้า และบริการเฉพาะทางให้ตอบโจทย์ทุกไลฟสไตล์เรื่องงานช่างและเรื่องบ้าน ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น ตรงตามกระแส

อาทิ Solar World กลุ่มสินค้าโซล่าร์เซลล์ที่ครบครันในทุกฟังก์ชันคุณภาพมาตรฐาน Tier 1 พร้อมแพคเกจติดตั้ง โซนเฟอร์นิเจอร์โฉมใหม่แบรนด์ CALINA ที่ยกระดับความหลากหลายสำหรับทุกห้องภายในบ้าน เน้นคอนเซปต์ DIY Wardrobe ที่มีบริการออกแบบ 3D ให้ลงตัวตามพื้นที่

และงบประมาณ  Bike Shop โซนจักรยานเพื่อทุกคนในครอบครัวที่รักการออกกำลังกาย Consumer Electrics แผนกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ชั้นนำ Line up Range ครบทุกขนาดและฟังก์ชั่น บนพื้นที่ดิสเพลย์กว่า 1,000 ตร.ม. และ Construction Showroom 

ที่ไทวัสดุเป็นเจ้าแรกในวงการที่จัดทำห้อง Construction Showroom เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเลือกซื้อสินค้าโครงสร้างขนาดใหญ่ให้เป็นเรื่องง่าย โดยได้รวบรวมสินค้าจริงกว่า 5,000 รายการ จัดดิสเพลย์ตัวอย่างวัสดุ ข้อมูลสินค้าเชิงลึก และโซลูชั่นต่างๆ ในพื้นที่กว่า 450 ตร.ม.

รวมถึงการพัฒนาช่องทาง Omnichannel ยังถือเป็นหัวใจหลัก เพื่อให้การเลือกซื้อและจับจ่ายสินค้าได้หลากหลายตอกย้ำการเป็นตัวจริงเรื่อง O2O (Online-to-Offline) ผสานทั้งจุดแข็งของออฟไลน์ และความสะดวกสบายของออนไลน์ไว้ด้วยกัน

ถึงแม้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะยังคงนิยมเดินทางมาซื้อสินค้าหน้าร้าน (Physical) เพื่อสัมผัสและทดลองใช้จริง แต่เรายังคงมีการพัฒนาช่องทางออนไลน์ (Digital) ทุกแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทาง Website, Social Commerce (Line -Chat & Shop, Facebook, Call & Shop, Call Center, Application, Call center 1308)

นำเสนอในคอนเซ็ปต์ “Phygital” คือ การเชื่อมต่อประสบการณ์ ช็อปปิ้งอย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะซื้อผ่านช่องทางใด ลูกค้าจะได้รับการนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมือนกัน ทั้งการซื้อที่ร้านและออนไลน์ คือ

·       One Price / One Promotion – ไม่ต้องเสียเวลาเช็คราคาและโปรโมชั่นที่ดีที่สุด เพราะราคาขายเท่ากันทั้งในสาขาและหน้าเว็บไซต์

·      One Coupon – คูปองส่วนลดที่ได้รับจากการซื้อสินค้า สามารถนำไปช็อปต่อได้ทุกช่องทาง พกง่าย เพราะอยู่ใน Coupon Wallet ในแอปพลิเคชันไทวัสดุ

·       One Payment System – ช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายและปลอดภัย (Credit card, QR PromptPay, ผ่อน 0%, แลกคะแนนสะสม The1)

·       The1 Identity – สะสมคะแนน The1 สามารถเชื่อมโยงข้อมูลตัวตนได้ เพื่อแค่ใช้เบอร์สมาชิกเท่านั้น ทั้งยอดสะสมคะแนน และประวัติการซื้อ

สำหรับทิศทางสร้างการเติบโตของไทวัสดุในปี 2567 นี้ ยังคงขับเคลื่อนการปูพรมขยายสาขาทุกภูมิภาคทั่วไทย (Ambitious Expansion) ภายใต้แบรนด์แบรนด์ไทวัสดุ และบีเอ็นบี โฮม ตั้งเป้าขยายทุกโมเดล ทั้ง Red Format รูปแบบมาตรฐาน, Hybrid Format (White Format) และ Blue Format ขนาดเล็ก เจาะกลุ่มผู้รับเหมารายย่อย รวมทั้งสิ้น 103 แห่ง บนพื้นที่ขายรวมกว่า 1,400,000 ตร.ม.

ทั้งนี้ แผน 5 ปี (2567-2571) ได้มุ่งเป้าหมายตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านอย่างครบวงจร“No.1 Omnichannel DIY Home Retailer ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดด้วยยอดขาย 70,000 ล้านบาท และอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 12% เหนือการเติบโตของตลาดในภาพรวม โดยมี 3 กลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยนำไทวัสดุเดินหน้าสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน 3 เรื่องหลักๆ คือ

1) Hybrid Format (White Format) เมื่อปี 2564 ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของวงการธุรกิจค้าปลีก ในการผู้นำรายแรกเปิดตัว New Store Model รูปแบบ Hybrid Format (White Format) โดยผนึกจุดแข็งของแบรนด์ไทวัสดุ

และบีเอ็นบี โฮม ให้เป็นศูนย์รวมสินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์งานช่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเพื่อบ้าน ของตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน สามารถตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้าทั้งผู้รับเหมา ช่าง และเจ้าของบ้าน ด้วยพื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม. รวบรวมสินค้ามากถึง 50,000 รายการ และยังเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขายได้ถึง 30% 

โดย ณ สิ้นปี 2567 จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 16 สาขา ได้แก่ ศรีสมาน, บางแสน, รังสิต คลอง4, ภูเก็ต ฉลอง, เมืองเอก, สมุทรปราการ, เชียงใหม่ สันทราย, บางใหญ่ ,นครอินทร์, อุดรธานี กุดสระ, พระราม 3 , บางนา, บางบัวทอง, สุขาภิบาล 3, ภูเก็ต และขอนแก่น

2)     Outperforming Online Shopping   ยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การ ช็อปปิ้งออนไลน์ไม่มีสะดุด โดยเฉพาะการพัฒนาฟีเจอร์ (Feature) ที่มีความเป็น Unique only at Thaiwatsadu ที่เดียวเท่านั้นผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น ไม่ว่าจะเป็น

·     Daily Steel Price Ordering Online: เจ้าแรกในตลาด ที่อัพเดตราคาเหล็กออนไลน์รายวัน สั่งซื้อได้ทันที และมีตัวช่วยในการคำนวนน้ำหนักรวมเหล็ก ช่วยให้ผู้รับเหมาสามารถบริหารจัดการสต๊อกและต้นทุนเหล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

·     Feature Mixed Paint & Calculator: ครั้งแรกในวงการสีเมืองไทย ที่ลูกค้าและผู้รับเหมาสามารถเลือกซื้อสีผสมทาอาคารกว่า 20,000 เฉดสีได้ด้วยตัวเอง รวมถึงสามารถคำนวนปริมาณสีที่ต้องใช้ในพื้นที่ที่ต้องการ

·    Tailor Made Curtains Calculator: โปรแกรมสำเร็จรูปที่ช่วยให้การคำนวนผ่าม่านสั่งตัดเป็นเรื่องง่าย สามารถคำนวนความกว้าง ความยาวตามที่ต้องการ มีให้เลือกหลากหลายสไตล์ และเฉดสี พร้อมมีบริการติดตั้งจากช่างมือ 1 vFIX

ทั้งนี้ จากการเสริมความแข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายในช่องทางออนไลน์ได้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2571 ด้วยปัจจัย

·  Mobile-First DIY Features – พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆบนมือถือก่อนเพื่อความสะดวกแก่ลูกค้า และออกแบการใช้งานเฉพาะทางสำหรับผู้รับเหมาโดยเฉพาะ

·  Quick Fulfillment – ยกระดับการให้บริการส่งสินค้าที่รวดเร็ว อาทิ ซื้อสินค้าออนไลน์ สามารถได้ทุกสาขา รวมถึงการส่งคืนหรือเปลี่ยนสินค้าด้วย (Click & Collect) หรือ จัดส่งด่วน (Express Delivery) ภายใน 2 ชม., การจัดส่งสินค้าภายในวัน และวันถัดไป (Same Day & Next Day Delivery)

·     Complete Product Range – มีสินค้าครบหมวดเรื่องบ้านกว่า 50,000 รายการนอกจากจะมีสินค้าที่มีจำหน่ายเหมือนในร้านแล้ว ยังมีสินค้าพิเศษ (Extended Range) ให้เลือกอีกมากมายตามความต้องการ ลูกค้าได้ของครบ จบงานง่าย ใน 1 คำสั่งซื้อ

3)    Supply Chain Movement เป็นผู้นำเจ้าแรกในวงการธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เปิดตัวการใช้รถบรรทุกพ่วงแม่ลูกพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) เข้ามาใช้ในการขนส่งสินค้ารองรับการเติบโตของธุรกิจ จึงได้พัฒนาระบบกรีนโลจิสติกส์ (Green Logistics) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในปี 2567 จะเพิ่มจำนวนรวม 80 คัน

คิดเป็น 32% จากรถขนส่งทุกประเภททั้งหมด ขนส่งสินค้าได้มากกว่า 700,000 พาเลท ช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 ถึง 7,000 ตัน ทั้งนี้ แม้ว่าต้นทุนราคารถพ่วง EV Truck จะสูงกว่ารถบรรทุกดีเซล แต่ในระยะยาวจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง และการดูแลเครื่องยนต์ลดลงได้ถึง 16% ต่อปี

นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจฮาร์ดไลน์สีเขียว ตามเจตนารมณ์ของเซ็นทรัล รีเทล ในการเป็น Green & Sustainable Retail ผลักดันนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

ด้วยกลยุทธ์ CRC’s “ReNEW”  ที่เป็นกรอบการดำเนินงาน 4 แกนหลัก ได้แก่      

1)     Re = Reduce Greenhouse Gases ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการติดตั้ง Solar Rooftop ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปี 2566 จำนวน 75 สาขา ส่งผลให้ลดการใช้กระแสไฟฟ้าได้ถึง 40% และในปี 2567 เร่งติดตั้งเพิ่มอีก 15 สาขา ซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าสะสมได้มากกว่า 101 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 2.5 ล้านต้น  

2)     N = Navigate Society Well-being สร้างสังคมให้น่าอยู่ โดยจัดทำโครงการที่เป็นประโยชน์เพื่อสังคมและชุมชน 11 โครงการครอบคลุม 9 จังหวัด เอื้อประโยชน์ให้กับผู้คนในพื้นที่ไปกว่า 700,000 คน อาทิ การจ้างงานผู้พิการกว่า 100 คนภายในสาขา และศูนย์บริการลูกค้า Contact Center โครงการ “รวมหัวใจให้บ้านเกิด” เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมตอบแทนชุมชนในภูมิลำเนาของตนเอง

3E = Eco-Friendly Product and Packaging  ส่งเสริมสินค้า Eco Product และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกับผู้ร่วมค้าซึ่งได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ กว่า 4,000 รายการ

4) W = Waste Management การจัดการขยะมูลฝอยในโครงการ Save World ผ่านแนวคิด 3Rs คือ Reduce, Reuse และ Recycle ที่สามารถนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ได้ และลดขยะได้ถึง 1,117 ตัน

“ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ยังคงเดินหน้าด้วยกลยุทธ์อย่างแข็งแกร่ง พร้อมรับความท้าทายใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย และมุ่งพัฒนาทุกแพลตฟอร์มออมนิชาแนล ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ ไทวัสดุ จะก้าวขึ้นสู่การเป็นสุดยอดผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน สามารถสร้างความยั่งยืนในทุกมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไปด้วยกัน” นายสุทธิสาร กล่าวทิ้งท้าย

ธุรกิจ

สมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ Dongtan Engineer Forum ครั้งที่ 4 AI.ปัญญาประดิษฐ์ พลิกโฉมเศรษฐกิจของชาติ

สมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ Dongtan Engineer Forum ครั้งที่ 4 AI.ปัญญาประดิษฐ์ พลิกโฉมเศรษฐกิจของชาติ วันที่ 13 กรกฎาคม 2567 เวลา 11.00 น. – 17.00 น. ห้อง WORLD BALLROOM ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ รายได้เพื่อสมทบทุนการก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และกิจการสาธารณประโยชน์ของสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

การเงิน-หุ้น

“กรุงไทย” จับมือ “NatureWorks” ประกาศดีลประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพตามแนวทาง BCG  สนับสนุนเงินลงทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ วงเงิน 12,600 ล้านบาท

“NatureWorks” ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ประเภทพอลิแลกติกแอซิด ซิด (Polylactic Acid หรือ PLA)ชั้นนําของโลกที่ผลิตจากทรัพยากรหมุนเวียน  และธนาคารกรุงไทย  ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนเงินลงทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ PLA ภายใต้แบรนด์   “Ingeo™️” แบบครบวงจรแห่งใหม่ในประเทศไทย

มูลค่ากว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 12,600 ล้านบาท นับเป็นหนึ่งในสินเชื่อเงินกู้ที่มีผู้ให้กู้รายเดียว (Bilateral loan) ที่ใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษของวงการธนาคาร สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กร ในการผลักดันเศรษฐกิจชีวภาพตามแนวคิด BCG ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน

นายอิริค ริพเพิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ NatureWorks เปิดเผยว่า การสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทยครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนกลยุทธ์ของ NatureWorks ในการรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจชีวภาพระดับสากล โดยโรงงานแห่งที่ 2

ในประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตเพื่อมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และผลักดันไปสู่การขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับเศรษฐกิจชีวภาพและความต้องการผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพสำหรับใช้เป็นบรรจุภัณฑ์และเส้นใยทั่วโลก

ทั้งนี้ โรงงานของ NatureWorks แห่งที่ 2 นี้ ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นไบโอคอมเพล็กซ์แห่งแรกในประเทศไทยที่ก่อตั้งขึ้นตามแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านวัตถุดิบทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์และหาได้ในท้องถิ่น

ได้แก่ อ้อย โดย NatureWorks พิจารณาเลือกสถานที่ก่อสร้างโครงการจากปัจจัยด้านทำเลที่ตั้งที่ใกล้กับที่ปลูกอ้อย และมีโครงสร้างพื้นฐานในการแปรรูปอ้อยเป็นน้ำตาลสำหรับใช้ในกระบวนการผลิต ตลอดจนพิจารณาถึงความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคในการดำเนินการผลิต

นายสุรธันว์ คงทน ประธานผู้บริหาร Wholesale Banking ธนาคารกรุงไทย  เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นขับเคลื่อน “นวัตกรรมสร้างคุณค่า ตอบโจทย์ลูกค้า สู่ความยั่งยืน” เล็งเห็นถึงศักยภาพของ NatureWorks ในการเป็นผู้นำในธุรกิจพลาสติกชีวภาพ ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ

ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Model หรือ Bio-Circular-Green Economy) ของประเทศไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของประเทศ เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยธนาคารพร้อมให้การสนับสนุน NatureWorks ก่อสร้างโรงงานและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

“ประเทศไทยเป็นผู้นำทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งธนาคารกรุงไทยมีบทบาทร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ การสนับสนุนเงินลงทุนแก่ NatureWorks ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำระดับโลกในการผลิตวัสดุชีวภาพผลิตพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ประเภทพอลิแลกติกแอซิด ซิด (Polylactic Acid หรือ PLA) จากทรัพยากรหมุนเวียน

นับเป็นดีลใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของธนาคารในการการขับเคลื่อนโมเดล BCG ในประเทศไทย  สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคาร ที่มุ่งเน้นการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และผลักดันกิจกรรมต่างๆ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบสีเขียว สอดคล้องกับการดำเนินงานของธนาคาร

ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ  ทั้งในด้านการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน โดยโครงการนี้ช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าให้กับแก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยที่อยู่ในพื้นที่นครสวรรค์อีกด้วย”

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานคณะกรรมการเนเชอร์เวิร์คส์ และซีอีโอ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ NatureWorks  Cargill และ GC เนื่องจากเป็นการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ร่วมกันทุกฝ่าย

ในการเป็นผู้นำด้านเคมีชีวภาพ และวัสดุชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกด้วยการสนับสนุนด้านเงินลงทุนในการก่อสร้างโรงงาน PLA แห่งที่ 2 ในประเทศไทย  ทำให้ NatureWorks สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขัน

และมีความพร้อมในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ และวัสดุชีวภาพขั้นสูง รวมถึงมีกำลังการผลิตที่เพียงพอสำหรับตอบสนองความต้องการของตลาดและลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีการเติบโตสูง

โรงงานแห่งใหม่นี้ได้รับการออกแบบให้เป็นโรงงานผลิต PLA แบบครบวงจร ที่ผลิตตั้งแต่กรดแลคติค แลคไทด์ และ PLA ด้วยกำลังการผลิตพลาสติกชีวภาพ ภายใต้แบรนด์  Ingeo™️ จำนวน 75,000 ตันต่อปี สามารถผลิต Ingeo™️ ได้หลากหลายเกรด

เพื่อตอบสนองการเติบโตของตลาดพลาสติกชีวภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสำหรับการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นใยสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ สิ่งทอประเภท nonwovens แคปซูลกาแฟที่ย่อยสลายได้ ถุงชา บรรจุภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่น(Flexible packaging)

และบรรจุภัณฑ์อาหารที่ย่อยสลายเองได้ พลาสติกชีวภาพ Ingeo™️ ที่ผลิตในโรงงานแห่งนี้จะผลิตจากอ้อยที่ได้จากไร่การเกษตรในรัศมี 50 กิโลเมตรในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งความคืบหน้าของโครงการและการก่อสร้างในปัจจุบันได้ดำเนินลุล่วงตามแผน พร้อมดำเนินการผลิตอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2568

ประกัน

“ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 40”

ร่วมลงพื้นที่สักการะ 3 กษัตริย์มหาราชไทย ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระปิยมหาราช และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจสร้างคุณูปการแก่แผ่นดินไทยมากมาย

พร้อมเยี่ยมชมที่ดิน 109 ไร่ของพ่อ ณ ศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริ เพื่อศึกษาการทำเกษตรอินทรีย์ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวการเกษตรไม้ผลที่สำคัญของประเทศ 

 อีกทั้งยังได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานมูลนิธิธรรมดี และอาจารย์อดุลย์ ดาราธรรม นายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย

ผู้พัฒนานวัตกรรมสื่อการสอนสำหรับเยาวชนในศตวรรษที่ 21 หรือ Interactive Board Game หนึ่งเดียวในโลก เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมแบบก้าวกระโดด และเตรียมความพร้อมประเทศไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี 2030

เชิญร่วมโครงการตามรอยพระราชา ครั้งที่ 40 ในวันเสาร์ที่ 25 – วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2567 (2 วัน 1 คืน) ณ ศูนย์พัฒนาไม้ผลตามพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ คุณจารุกัญญ์ โทรศัพท์ 099 397 5333  FB: ตามรอยพระราชา-The King’s Journey  LINE:  The King’s Journey

การเงิน-หุ้น

พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดย ทีเอ็มบีธนชาต ต้อนรับคณะเยาวชนจาก 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อศึกษาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านคุณความดีขององค์ครุฑ

พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดย ทีเอ็มบีธนชาต ร่วมกับ กองทัพบก นำโดยคณะผู้บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต และ พันเอก วาริส ทรวงโพธิ์ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการจิตวิทยา สำนักจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือนทหารบก พร้อมด้วย ผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรปราการ ต้อนรับคณะเยาวชนจากกรมกิจการพลเรือนทหารบกจาก 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ (กองทัพภาคที่ 1-4) จำนวนกว่า 140 คน

ที่เดินทางเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ครุฑ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวในอาเซียนที่รวบรวมจัดแสดงองค์ครุฑพระราชทาน อันเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ และมรดกทางศิลปะวัฒนธรรมไทย เพื่อปลูกฝังเยาวชนให้ยึดถือพญาครุฑเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต เนื่องจากพญาครุฑ เป็นสัญลักษณ์แห่งความกตัญญู ความซื่อสัตย์ และความดีงาม ซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของสังคมไทย 

สำหรับหมู่คณะที่สนใจท่องเที่ยวและเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ “พิพิธภัณฑ์ครุฑ” สามารถลงทะเบียนผ่าน  https://www.ttbfoundation.org/th/garudamuseum/ โดยจะเปิดให้เข้าชม ทุกวันศุกร์-เสาร์ วันละ 3 รอบ ในเวลา 10:00 / 13:00 / 15:00 น. พร้อมผู้นำชม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือติดตามกิจกรรมดี ๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.ttbfoundation.org

การเงิน-หุ้น, ธุรกิจ

ALPHAX โตสนั่น! โชว์งบ Q1/67 กำไรพุ่ง 650% All Time High ลุยธุรกิจพลังงานเต็มสปีด ดันรายได้อนาคตโตก้าวกระโดด

บมจ.อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ (ALPHAX) เปิดงบไตรมาส 1/2567 สุดอลังการ! ทำกำไรพุ่งขึ้น 650% ทุบสถิติ All Time High ฟากซีอีโอหนุ่ม “ธีร ชุติวราภรณ์” ระบุลุยธุรกิจพลังงานเต็มสปีด และศึกษาแผนลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจพลังงานน้ำที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างผลตอบแทนผลักดันอนาคตเติบโตก้าวกระโดด 

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALPHAX เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2567)  กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 196.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 214% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

และมีกำไร เพิ่มขึ้น 650% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สาเหตุหลักการเพิ่มขึ้นของกำไร มาจากการเข้าทำรายการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยการซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท น้ำฮุง 1 ไฮโดรพาวเวอร์ จำกัด (NH1) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานน้ำใน สปป.ลาว

สำหรับแนวโน้มต่อจากนี้ หลังเขื่อนแรกทำกำไรกระฉูด และสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี ซีอีโอเผยบริษัทฯ จะเดินหน้าเต็มสปีดลุยธุรกิจพลังงานเต็มตัว

และกำลังศึกษาเพื่อการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจพลังงานน้ำที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคตให้เติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างที่โชว์ในไตรมาส 1/2567 อย่างนี้บอกได้เลยว่า ALPHAX จะโตวันโตคืน โตกระฉูดแน่นอน!!!!

ตลาด, ธุรกิจ

ยืนหนึ่งสะบัดผมพลิ้วสวยสุขภาพดี ในงาน PANTENE: The Final Bottle “แพนทีน” เปิดบ้านท้าพิสูจน์พลังฟื้นบำรุงเส้นผม ฉลองเปิดตัวสูตรใหม่ในรอบ 4 ปี

แพนทีน ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เปิดบ้านเฉลิมฉลองเส้นผมสุขภาพดีในงาน PANTENE: The Final Bottle’ #Panteneยืนหนึ่งที่พึ่งผมเสีย พร้อมเปิดตัวแพนทีนสูตรใหม่ ที่ใช้เวลาพัฒนากว่า 4 ปี กับนวัตกรรมไมโคร โปร-วิตามินที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า 

เสริมประสิทธิภาพการฟื้นบำรุงผมเสียให้กลับมาสวยได้อย่างล้ำลึก พร้อมพิสูจน์สูตรใหม่ที่ดีกว่าที่เคยกับการเวิร์คช็อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการปกป้องเส้นผมจากภายนอก เจาะลึกประสิทธิภาพการซึมลึกเข้าถึงแกนผมเพื่อฟื้นบำรุงจากภายใน

พร้อมพิสูจน์เส้นผมนุ่มสลวย มีน้ำหนัก กับเวิร์คช็อปจากนักวิทยาศาสตร์ โดยมีแขกผู้มีเกียรติผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและเส้นผมเข้าร่วมพิสูจน์ ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่น  ณ เดอะกลาสเฮาส์ บ้านปาร์คนายเลิศ เมื่อวันก่อน

คุณมณีรัตน์ จึงยิ่งเรืองรุ่ง Senior Brand Manager แบรนด์แพนทีน ประเทศไทย ฉายภาพถึงความเป็นมาของแบรนด์และการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้งของแพนทีนว่า “แพนทีน มีที่มาจากแพนธีนอล (Panthenol) ซึ่งนายแพทย์ชาวสวิสได้ค้นพบโดยบังเอิญระหว่างการรักษา

ว่าขนบริเวณรอบแผลที่รักษาด้วยแพนธีนอล หนาและแข็งแรงขึ้น จึงนำมาพัฒนาเป็นสารบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ แบรนด์แพนทีนจึงถือกำเนิดขึ้น ในปี 1945 ด้วยผลิตภัณฑ์แฮร์โทนิก พรีเมียม สำหรับบำรุงหนังศีรษะและเสริมความแข็งแรงของ  เส้นผม และพัฒนามาสู่ผลิตภัณฑ์แชมพู ครีมนวดผม และ ทรีทเม้นท์ตั้งแต่ช่วงปี 1960 เป็นต้นมา

ก่อนเริ่มต้นเปิดตลาดในประเทศไทยเมื่อปี 1991 และครองอันดับหนึ่งแชมพูระดับพรีเมียม สำหรับทุกสภาพผม นำไปสู่การก่อตั้ง Pantene Hair Research Institute ในปี 2012 สถาบันวิจัยสุขภาพผมของแพนทีน ที่มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผมสุขภาพดีร่วมกับแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก

ปัจจุบัน แพนทีนกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 80 ด้วยคำมั่นสัญญาที่จะฟื้นสภาพผมเสียให้เป็นผมสุขภาพดี บำรุงผมให้สวยเงางาม เพื่อเพิ่มวันที่ดีให้กับทุกคน และขออาสา #ยืนหนึ่งที่พึ่งผมเสีย ด้วยการพัฒนาแพนทีนสูตรใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการ

และมอบประสบการณ์การบำรุงผมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพร้อมเปิดตัวสูตรใหม่แล้วในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากคิดค้นและพัฒนาสูตรมานานกว่า 4 ปี ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เนียนนุ่ม เบายิ่งขึ้น สระและล้างออกได้ง่าย เพิ่มไมโคร โปร-วิตามิน จากสูตรเดิมถึง 3 เท่า

เพื่อเพิ่มพลังการเข้าฟื้นบำรุงถึงแกนผมให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงปรับกลิ่นใหม่ ‘Girl Squad’ ให้มีความสดชื่นจากกลิ่นผลไม้และดอกไม้ แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น สื่อถึงทัศนคติหญิงแกร่ง และการไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา”

ด้าน คุณเซนต์ ทิว Principal Scientist นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ด้านผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม จากห้องแล็บของ Procter & Gamble ได้เดินทางลัดฟ้าจากประเทศสิงคโปร์ มาจัดการทดลองเจาะลึกประสิทธิภาพการบำรุงผมเหนือระดับ ผ่านเวิร์คช็อปสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่สามารถพิสูจน์ความ #ยืนหนึ่งที่พึ่งผมเสีย ได้อย่างเข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็น

Repair External Surface cracks พิสูจน์ประสิทธิภาพการปกป้องเส้นผมจากภายนอก ด้วยการตรวจความร้อนภายนอกเส้นผม ซึ่งช่อผมที่สระมาด้วยแพนทีน ไม่เกิดความร้อนเมื่อหวีแรง ๆ แสดงถึงการปกป้องเส้นผมจากความร้อนภายนอก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุทำลายสุขภาพผม

Repair Internal Micro-cracks เจาะลึกประสิทธิภาพการซึมลึกเข้าถึงแกนผมเพื่อฟื้นบำรุงจากภายใน ทดสอบโดยการใช้ไข่ต้ม ซึ่งเป็นเซลล์โปรตีนเช่นเดียวกับเส้นผม แช่ในสารไมโคร โปร-วิตามิน B5 เมื่อผ่าออกจะพบว่ามีชั้นสีเหลืองซึมเข้าในเนื้อไข่ขาวอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าอนุภาคไมโคร โปร-วิตามิน สามารถซึมลึกเข้าถึงแกนผมเพื่อฟื้นบำรุงผมเสียได้ถึงต้นตอ

Repair Without the Weight พิสูจน์เส้นผมนุ่มสลวย มีน้ำหนัก ด้วยประสิทธิภาพของครีมนวดผมสูตรใหม่ที่ล้างออกง่าย พร้อมพิสูจน์สัมผัสเส้นผมนุ่มลื่น ไม่จับเป็นก้อน หลังสระผม

ปิดท้ายด้วยเวิร์คช็อป Scent of Strength ที่พาเข้าสู่โลกแห่งกลิ่นหอม กับกลิ่นใหม่ของแพนทีน ‘Girl Squad’ ท้าทายประสาทสัมผัสด้วยการตามหาต้นกำเนิดของกลิ่นต่างๆ ทั้ง Top Notes จากแพร์ญี่ปุ่น เบอร์รี และเบอร์กาม็อท

ตามมาด้วย Mid Notes จากดอกพีโอนี ดอกมะลิ และออร์ริส จบด้วยกลิ่น Base Notes จาก วานิลลา ซีดาร์วูด และ กลิ่นหญ้าอ่อนๆ ซึ่งเบลนด์เข้ากันเป็นกลิ่นหอมที่สดชื่นแต่แฝงด้วยความหนักแน่น แสดงออกถึงความเข้มแข็งของผู้หญิงยุคใหม่ เป็นกลิ่นที่เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์และตัวตน

ร่วมพิสูจน์ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าไปกับ แพนทีน ไมโคร โปร-วิตามิน X3 สูตรใหม่ล่าสุด ทั้งแชมพูและครีมนวดผม ได้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วไป และช่องทางออนไลน์ P&G Official Shop ติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมของแบรนด์ได้ที่ Facebook.com/PanteneThailand หรืออินสตาแกรม @panteneth