การเงิน-หุ้น, ธุรกิจ

TTA ปลื้มไตรมาสแรกปี 67 โกยกำไรสุทธิ 1,116.0 ล้านบาท เป็นผลมาจากอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าที่สูงขึ้น และรายได้ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง

บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA มีรายได้ จำนวน 6,523.1 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2567 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง และกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มการลงทุนอื่น มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 26 ร้อยละ 48 ร้อยละ 11 ร้อยละ 9 และร้อยละ 6 ของรายได้รวม ตามลำดับ

โดยสรุป TTA รายงานผลกำไรสุทธิอย่างแข็งแกร่ง จำนวน 1,116.0 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2567 และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 419 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ TTA มีโครงสร้างเงินทุนยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 0.42 เท่า ณ สิ้นไตรมาส

นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1/2567 ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของกระแสเงินสดที่ดีและความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือและกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่งเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง

แม้ว่าภาวะการค้าขายของโลกอาจจะชะงักงันบ้าง เนื่องจากการสู้รบในทะเลแดง ความตึงเครียดในอ่าวเปอร์เซีย และสงครามที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในยูเครน แต่โทรีเซน ชิปปิ้ง ยังคงรักษาอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ยได้สูงกว่าตลาด นอกจากนั้น Liengaard & Roschmann 

ที่ได้ทำการประเมินอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าของบริษัทจดทะเบียนที่ให้บริการขนส่งสินค้าแห้งเทกองในระดับสากล ได้เผยแพร่รายงาน “Vesselindex Performance” ฉบับล่าสุด ซึ่งปรากฏว่า โทรีเซน ชิปปิ้ง ติดอยู่ในระดับสามของโลก ด้วยอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ยสูงกว่าตลาด อยู่ที่ 3,790 ดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 38.6  

ในขณะที่ เมอร์เมด ยังคงทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ในด้านงานวิศวกรรมใต้ทะเล (Subsea-IRM) และงานรื้อถอน (Decommissioning) งานขนส่งและติดตั้ง (Transportation & Installation: T&I) ดังนั้น เราจึงมั่นใจว่าเมอร์เมด มีอนาคตที่สดใส และมีศักยภาพที่จะขยายธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งในประเทศไทย ตะวันออกกลาง และสหราชอาณาจักร ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง”

ผลการดำเนินงานของรายกลุ่มธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ :

รายได้ค่าระวางของโทรีเซน ชิปปิ้ง อยู่ที่ 1,690.4 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน เนื่องจากอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น โดยอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ 15,932 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน

และอัตราการใช้ประโยชน์เรือยังคงสูงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 100 และมีอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าสูงสุดอยู่ที่ 36,343 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของเรือ (OPEX) อยู่ที่ 4,113 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับปีก่อน

ดังนั้น กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 854.5 ล้านบาท เช่นเดียวกับ EBITDA ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 815.5 ล้านบาท

ดังนั้น ไตรมาสที่ 1/2567 โทรีเซน ชิปปิ้ง รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 656.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับปีก่อน โทรีเซน ชิปปิ้ง เป็นเจ้าของเรือ จำนวน 24 ลำ (เรือซุปราแมกซ์ จำนวน 22 ลำ และเรืออัลตราแมกซ์ จำนวน 2 ลำ) มีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่ากับ 55,913 เดทเวทตัน (DWT) และมีอายุเฉลี่ย 16.0 ปี

กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง :

บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) หรือเมอร์เมด รายงานรายได้ 3,139.0 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 112 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของงานวิศวกรรมใต้ทะเล (Subsea-IRM) และงานรื้อถอน (Decommissioning) 

งานขนส่งและติดตั้ง(Transportation & Installation: T&I) โดยรายได้จากงานวิศวกรรมใต้ทะเล งานรื้อถอน งานขนส่งและติดตั้ง และงานวางสายเคเบิลใต้ทะเล มีสัดส่วนร้อยละ 52 ร้อยละ 34 และร้อยละ 14 ของรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจฯ ตามลำดับ

ในส่วนของรายได้จากงานวิศวกรรมใต้ทะเลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 88 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของงานที่ไม่ใช้เรือในโครงการวิศวกรรมใต้ทะเลด้านสำรวจและซ่อมบำรุง และรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เทียบกับช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อน จากอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือวิศวกรรมใต้ทะเลที่เพิ่มขึ้น

โดยอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือวิศวกรรมใต้ทะเลเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 83 ในไตรมาสที่ 1/2567  ในขณะที่ รายได้จากงานรื้อถอน งานขนส่งและติดตั้ง และงานวางสายเคเบิลใต้ทะเล เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 119 เมื่อเทียบกับปีก่อน

สาเหตุหลักมาจากการขยายธุรกิจของงานรื้อถอน งานขนส่งและติดตั้งในประเทศไทย ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ร้อยละ 180 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 479.2 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้ EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 463 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 281.3 ล้านบาท

โดยสรุป เมอร์เมด รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 6.9 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2567 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 107 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบที่แข็งแกร่ง จำนวน 734.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส

กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร :

ในไตรมาสที่ 1/2567 บริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA รายงานรายได้รวมที่ 711.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปริมาณการขายปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการขายปุ๋ยทั้งในประเทศและส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 87 

เมื่อเทียบกับปีก่อน ปริมาณการขายปุ๋ยรวมอยู่ที่ 32.3 พันตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 130 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการฟื้นตัวของความต้องการใช้ปุ๋ยในประเทศเวียดนาม ซึ่งปริมาณขายปุ๋ยในประเทศเวียดนามอยู่ที่ 25.6 พันตัน คิดเป็นร้อยละ 79 ของปริมาณขายปุ๋ยทั้งหมด

ขณะที่ปริมาณส่งออกปุ๋ยอยู่ที่ 6.8 พันตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 98 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากปริมาณส่งออกปุ๋ยไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการขยายตัว  สำหรับรายได้จากผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการเกษตรอื่น (pesticide) ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 32.7 ล้านบาท

รายได้จากการให้บริการจัดการพื้นที่โรงงานลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 27.1 ล้านบาท จากกิจกรรมของคลังสินค้าที่ลดลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 229 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 99.9 ล้านบาท

และ EBITDA อยู่ที่ 32.1 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น ร้อยละ 511 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยสรุป PMTA รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 3.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 112 ในไตรมาสที่ 1/2567

กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage)

พิซซ่า ฮัท ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 พิซซ่า ฮัท มีสาขาจำนวน 186 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งสาขาทั้งหมดเป็นสาขาที่เปิดตามหัวเมืองใหญ่

ทาโก้ เบลล์ เป็นแฟรนไชส์อาหารสไตล์เม็กซิกันที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ทาโก้ เบลล์ มี 26 สาขาทั่วประเทศ

กลุ่มการลงทุนอื่น (Investment) มุ่งเน้นธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำและโลจิสติกส์

บริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AIM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 91.87 เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และให้บริการครบวงจรทางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ AIM ยังได้รับสัมปทานในการจำหน่ายน้ำประปาในหลวงพระบาง ประเทศลาว ผ่านบริษัทย่อยที่ AIM ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 100

การเงิน-หุ้น, ธุรกิจ

AHC โชว์งบไตรมาส 1/67 รายได้ 446.28 ล้านบาท Q2/67 เปิดศูนย์บริการเต็มอัตรา พร้อมจับมือพันธมิตรใหม่

AHC เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 67 รายได้รวม 446.28 ล้านบาท เติบโต 5% กำไรสุทธิ 27.70 ล้านบาท เตรียมเปิดศูนย์ดูแลสุขภาพ รักษาโรคเฉพาะทางให้บริการเต็มอัตรา เล็งจับมือพันธมิตรไต้หวัน ให้บริการตรวจเช็คโรคความเสี่ยงที่เกิดจากพันธุกรรม พร้อมพัฒนาศักยภาพอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขยายฐานครอบคลุมผู้ใช้บริการ

นายสิริพจน์ มาโนช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร บริษัท โรงพยาบาลเอกชล จำกัด (มหาชน) หรือ AHC โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกใน จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1   ปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 446.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  5 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 425.16 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 27.70 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 41.96 ล้านบาท

ผลประกอบการของบริษัทในส่วนของรายได้รวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงพยาบาลยังมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น จากการให้บริการตรวจรักษาปกติทั้ง IPD (In-Patient Department) หรือ “ผู้ป่วยใน” และ OPD (Out-Patient Department) หรือ “ผู้ป่วยนอก”

ขณะที่กำไรสุทธิปรับลดลงเนื่องจากการลงทุนปรับปรุงรีโนเวทหอพักผู้ป่วยใน ห้องผู้ป่วยวิกฤต (ICU)  รวมทั้งค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการ การปรับเพิ่มค่าตอบแทนพนักงาน และต้นทุนประกันสังคมที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์

สำหรับแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2/67 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากไฮซีซั่นธุรกิจ มีความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ตรวจรักษาเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีแผนจับมือพันธมิตรไต้หวัน เพื่อนำนวัตกรรมตรวจเช็คโรคความเสี่ยงที่เกิดจากพันธุกรรมมาเปิดให้บริการ เพื่อขยายฐานลูกค้าในวงกว้าง

นอกจากนี้เตรียมเปิดให้บริการหอพักผู้ป่วยใน ห้องผู้ป่วยวิกฤต (ICU) ที่ได้ปรับปรุงใหม่ เพื่อรองรับผู้ใช้บริการอย่างเต็มระบบ พร้อมพัฒนาศักยภาพอุปกรณ์การแพทย์ด้านหัตถการ อีกทั้งอยู่ระหว่างพิจารณาจัดตั้งศูนย์ดูแลสุขภาพและรักษาโรคเฉพาะทางอื่นๆ เพื่อขยายฐานครอบคลุมผู้ใช้บริการทุกเพศทุกวัย

การเงิน-หุ้น, เศรษฐกิจ

ออมสิน ชูเงินฝากดอกเบี้ยสูง 21% ต่อปี / สลากออมสิน 1 ปี แจกเพิ่มทองคำแท่ง 10 กิโลกรัม ฉลอง 111 ปี พร้อมอัดแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ในงาน Money Expo 2024 กรุงเทพ 16 – 19 พฤษภาคม 2567

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 24 Money Expo 2024 ด้วยโปรโมชันพิเศษสำหรับลูกค้าและผู้เข้าร่วมชมงานภายในงานนี้เท่านั้น โดยได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ภายใต้แนวคิด “Providing value TOWARDS a sustainable FUTURE : มอบคุณค่า สู่การส่งต่ออนาคตที่ยั่งยืน”

โดยเอาใจผู้ที่รักการออมกับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 111 วัน ดอกเบี้ยแบบ Step up สูงสุด 21% ต่อปี หรือเทียบเท่าเงินฝากประจำ 4.70% ต่อปี เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ฝากได้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย โดยสามารถจองสิทธิ์ภายในงานนี้เท่านั้น จำนวนจำกัดวันละ 200 สิทธิ์ และ 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ 

นอกจากนี้ ยังแจกรางวัลเพิ่มต่อเนื่อง ฉลอง 111 ปี ลุ้นรับทองคำแท่ง 10 กิโลกรัม รวมมูลค่ากว่า 26.5 ล้านบาท เพียงรางวัลเดียว สำหรับผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ทั้งแบบใบสลากและสลากดิจิทัล งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เริ่มรับฝากตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม – 15 กรกฎาคม 2567

สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อ ธนาคารมีมาตรการรีไฟแนนซ์ ภายใต้โครงการ “สินเชื่อออมสินรีไฟแนนซ์เพื่อสังคม” รับรีไฟแนนซ์หนี้เดิม อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยลดภาระแก่ลูกหนี้ทุกกลุ่ม ได้แก่ สินเชื่อออมสิน Re P-Loan สำหรับลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล อัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 100,000 บาท ไม่ต้องมีหลักประกัน

ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปีสินเชื่อออมสิน Re-Nano สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระรายย่อย สินเชื่อ Nano Finance อัตราดอกเบี้ย 18% ต่อปี วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 8 ปี ใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการค้ำประกันการกู้ได้

ส่วนผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น สามารถเลือก สินเชื่อออมสิน Re-Homeวงเงินกู้ 1-5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีแรกอยู่ที่ 1.95% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.95% ต่อปี กรณีผู้กู้ประสงค์ทำประกันฯ) พร้อมเงื่อนไขผ่อนต่ำ ปีที่ 1 ผ่อนชำระเงินงวดล้านละ 3,000 บาท/เดือน 

และสินเชื่อธุรกิจ GSB Re-Biz+ สำหรับผู้ประกอบการทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ที่ต้องการ รีไฟแนนซ์/รวมหนี้มาผ่อนชำระกับธนาคาร คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2 ปีแรก 3.49% ต่อปีวงเงินกู้เท่ากับวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินเดิม สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทน

อกจากนี้ ได้จัดโปรโมชันสินเชื่อเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ชุดใหญ่ เพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และผู้ประกอบการเกิดสภาพคล่องมีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ได้แก่ สินเชื่อบ้านออมสินเพื่อคนไทย สำหรับซื้อหรือปลูกสร้างบ้าน วงเงินกู้ไม่เกิน 7 ล้านบาท ผ่อนชำระปีแรกเพียงล้านละ 2,500 บาท/เดือนอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรก 1.95% ต่อปี (เฉลี่ย 3 ปีแรก2.95% ต่อปี) 

และสามารถกู้เพิ่มเติมเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน หรือสิ่งจำเป็นอื่นในการเข้าอยู่อาศัย โดยใช้ สินเชื่อ Top Up อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรกคงที่ 3.49% ต่อปี หลังจากนั้น MRR-0.25% และสามารถเลือกชำระเงินงวดแบบผ่อนต่ำปีที่ 1-3 ล้านละ 4,000 บาท/เดือนได้เฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ภายในงาน 

และจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 จำนวน 111 รายแรก จะได้รับ Central Gift Card มูลค่า 1,000 บาท ต่อวงเงินกู้สินเชื่อเคหะ 1 ล้านบาทส่วนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารได้จัด สินเชื่อ GSB D-HOME สร้างบ้านเพื่อคนไทย และสินเชื่อ GSB D-HOME กระตุ้นเศรษฐกิจ 

โดยกู้ไม่จำกัดวงเงิน และระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 4 ปี พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมต่างๆ พร้อมนี้ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกกับ “ออมสินเมตาเวิร์ส : GSB Metaverse” บูทธนาคารออมสินเสมือนจริง โดยลูกค้าสามารถเล่นกิจกรรมเก็บเหรียญภายในห้องต่างๆ ในโลกออมสินเมตาเวิร์ส ให้ครบ 20 เหรียญ 

และลงทะเบียนลุ้นรับของรางวัลส่วนลด Code Shopee มูลค่า 100 บาท วันละ 111 รางวัล รวมถึงยังมีกิจกรรมและของรางวัลพิเศษจำนวนมากตลอดทั้งงาน สำหรับงานมหกรรมการเงินกรุงเทพ ครั้งที่ 24 Money Expo 2024 ภายใต้แนวคิด “Digital Finance for All การเงินดิจิทัล เพื่อทุกคน” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 – 19 พฤษภาคม 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

การเงิน-หุ้น

บลจ.อเบอร์ดีนมองหุ้นไทยความเสี่ยงขาลงจำกัดคาดอัตรากำไรบจ.พลิกกลับมาโต 10%

บลจ.อเบอร์ดีน มองหุ้นไทยโอกาสฟื้นตัว แรงหนุนจาก 3 ปัจจัย”เศรษฐกิจไทยฟื้น-กำไรบจ.ปี 2567 พลิกกลับมาเติบโต 10% – Valuation หุ้นอยู่ระดับน่าสนใจ” 

พร้อมลุ้นกนง.หั่นดอกเบี้ยหนุนตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง มองจังหวะทยอยสะสมหุ้นบริษัทคุณภาพดี แนวโน้มเติบโตโดดเด่นกว่าตลาด  แนะนำกองทุน ABSM เน้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก มีศักยภาพเติบโตแข็งแกร่ง

นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อเบอร์ดีน มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อตลาดหุ้นไทยใน 6-12 เดือนข้างหน้า และมองความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานลงต่อมีค่อนข้างจำกัด จึงเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้น รับเศรษฐกิจไทย

ที่คาดว่าจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีชัดเจนขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้ และน่าจะส่งผลให้กระแสเงินทุนต่างชาติกลับมาเข้ามาลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ได้ แต่การลงทุนยังคงต้องระมัดระวังและเน้นเลือกหุ้นรายตัวที่มีโอกาสเติบโตโดดเด่นกว่าตลาดโดยรวม

สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมองว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1 และคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้ หลังจากงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลประจำปี 2567 ผ่านการอนุมัติในช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา 

ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเร่งเบิกจ่ายตั้งแต่เดือนพ.ค. ทั้งนี้ เรายังคงต้องติดตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วยว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามแผนในไตรมาส 4 ปีนี้หรือไม่

2.การเติบโตของอัตรากำไรบจ.ในตลาดหุ้นไทย (SET Earning Per Share: SET EPS) คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% ในปี 2567 (ที่มา abrdn เมษายน 2567) ซึ่งฟื้นตัวจาก -11% ในปีที่ผ่านมา (ที่มาBloomberg เมษายน 2567) 

โดยมองว่ายังมีหลายกลุ่มธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ชัดเจน (earnings visibility) และเติบโตดีกว่าภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว,พาณิชย์,การแพทย์,นิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม

3.Valuation ยังไม่แพง ซึ่งที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลดลงแตะระดับ 1,330 จุด ทำจุดต่ำสุดใหม่นับตั้งแต่วิกฤติโควิด จากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นแรงเกิดคาด รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงมากขึ้น 

ทำให้เงินลงทุนไหลกลับไปสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อย่างไรก็ตาม SET Index ปรับฐานลงมาอยู่ในระดับน่าสนใจ ด้วย forward P/E  ที่ 14 เท่า คิดเป็นอัตราส่วนลด (discount) 18% จากค่าเฉลี่ย P/E ในอดีต10 ปี ซึ่ง อยู่ที่ 17 เท่า (ที่มา Bloomberg เมษายน 2567)

นอกจากนี้เมื่อเทียบส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นกับผลตอบแทนจากพันธบัตร (earnings yield gap) ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 4.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 3.6%   สะท้อนถึงจังหวะที่น่าสนใจลงทุน 

เมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ 2.72% อีกทั้ง SET Index ณ ระดับปัจจุบันสะท้อนการเติบโตของกำไรต่อหุ้นปีนี้น้อยกว่า 2% ซึ่งสะท้อนความกังวลต่อความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของกำไรบจ.ไปมากแล้ว (ที่มา Bloomberg เมษายน 2567)

“อเบอร์ดีนยังเห็นโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้ หากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เริ่มมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากแนวโน้มของการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น 

ซึ่งหากย้อนดูสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 2544 จะพบว่า 4 ใน 5 ครั้งที่ ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นแรงถึง 20-30% โดยมีเพียงครั้งเดียวที่ตลาดไม่ได้ขึ้นแรง คือก่อนที่จะเกิดวิกฤติโควิดในปี 2562 

ดังนั้น แม้ว่าปัจจัยภายนอกประเทศจะกดดันความเชื่อมั่นในการลงทุนตลาดหุ้นไทยไปบ้างแต่เรามองว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เริ่มทยอยเข้าสะสมหุ้นในบริษัทที่มีคุณภาพและมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว” นางสาวดรุณรัตน์กล่าว

ทั้งนี้ อเบอร์ดีนยังเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก โดยเน้นการคัดสรรหุ้นรายตัวและวิเคราะห์เชิงลึกในแต่ละบริษัท โดยเฉพาะหุ้นที่valuation ยังไม่แพงและมีศักยภาพแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่าตลาดในระยะยาวอย่างน้อย 1-3 ปี

สำหรับกองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิด อเบอร์ดีนสมอล-มิดแค็พ (ABSM) เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ซึ่งให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นได้ประโยชน์จากการเติบโตเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศไทย 

เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจสุขภาพ และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเทรนด์ที่บริษัททั่วโลกย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปสู่ประเทศอื่น ๆ  ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ ABSM ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาทำได้ดีกว่าดัชนีชี้วัด (SET TRI) 

โดยหุ้นที่ถือครองในพอร์ตอันดับต้นๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้วยแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทที่แข็งแกร่งในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มการแพทย์ กลุ่มไอที และกลุ่มธุรกิจบริการเฉพาะกิจ (professional services) แม้จะมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ 

จากผลตอบแทนโดดเด่นช่วงก่อนหน้า(ตั้งแต่ ธันวาคม 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 ที่มา Bloomberg)  ประกอบกับการเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้น จากการฟื้นตัวที่ช้าในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

“ที่ผ่านมาหุ้นขนาดกลางและเล็กเคลื่อนไหวไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดโดยรวม แต่ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทมากกว่า จึงมองจังหวะที่ตลาดปรับฐานเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีคุณภาพดีและราคาปรับตัวลงจนน่าสนใจขึ้น

ขณะที่พอร์ตการลงทุนของ ABSM ก็มีโอกาสเติบโตสูงกว่าตลาด โดยคาดการณ์ EPS ของพอร์ตลงทุนจะเติบโตประมาณ 19.3% ในปีนี้(จากประมาณการณ์ของ Bloomberg เมษายน 2567)” นางสาวดรุณรัตน์กล่าว  ทั้งนี้ ABSM มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 6

ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต/ผลการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต 

ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงการนำเสนอข้อคิดเห็นซึ่งอาจแตกต่างจากเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจริงได้และไม่ได้เป็นการแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน  น้ำหนักและธีมการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือขอรับหนังสือชี้ชวน โทร 02-352-3388 Email: client.services.th@abrdn.com

การเงิน-หุ้น, ธุรกิจ

WICE มั่นใจปีนี้โตตามเป้า 20% หลังค่าระวางเรือปรับขึ้น เดินหน้าตามแผนขยายการลงทุน ครอบคลุมเครือข่ายโลจิสติกส์ครบวงจร

บมจ. ไวส์ โลจิสติกส์ หรือ “WICE” มั่นใจผลงานปีนี้มาตามนัด เผยผลงานไตรมาส 1/67กวาดรายได้ 976 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 39ล้านบาท หลังอัตราค่าระวางเรือปรับตัวดีขึ้น

ประกอบกับปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น ย้ำรายได้ปีนี้โตไม่น้อยกว่า 20% ลั่นเดินหน้าตามแผนต่อเนื่อง พร้อมแย้มศึกษาลงทุนขยายธุรกิจใหม่ต่อเนื่อง หวังสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยถึงผลดำเนินการไตรมาส 1/67 ว่า บริษัทมีรายได้รวมที่ 976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95% จากไตรมาสก่อน

เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากชะลอตัวในปีที่ผ่านมา รวมถึงอัตราค่าระวางเรือที่มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณการนำเข้าและส่งออกฟื้นตัวขึ้นอีกด้วย 

สำหรับปี 2567 บริษัทมั่นใจว่า การดำเนินงานจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังอัตราค่าระวางเรือที่มีการปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการขยายธุรกิจใหม่ๆของ WICE ที่จะทยอยสร้างรายได้เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจการให้บริการขนส่งเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง จาก สปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบัง  รวมถึงการให้บริการขนส่งเมล็ดกาแฟดิบ

จากบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ซึ่งเป็นโครงการทดลองระบบการขนส่งระยะไกลด้วยยานยนต์เชื้อเพลิงไฟฟ้า (EV) ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงกลางปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายพื้นที่ในการบริหารคลังสินค้าใหม่ โดยบริษัทฯ ได้วางตั้งเป้าขยายพื้นที่อีก 20,000 ตารางเมตรในปีนี้ 

“ทิศทางของผลการดำเนินงานหลังจากนี้ เราเชื่อว่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากงบไตรมาส 1/2567 ที่ออกมาล่าสุด เติบโตขึ้นกว่าไตรมาส 4/2566 ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสถัดๆ ไป ประกอบกับธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทฯ ได้ลงทุนขยายไป ก็เริ่มดำเนินการได้ ซึ่งก็จะหนุนให้ผลประกอบการของ WICE ในปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วาง 

ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้ผลประกอบการดีต่อเนื่อง จะมาจากจำนวนงานจากลูกค้าเดิมเพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และธุรกิจใหม่ๆ ที่บริษัทฯ ได้ขยายงานไปในช่วงที่ผ่านมา ก็จะเริ่มสร้างรายได้เข้ามาตั้งช่วงกลางปีนี้ ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยในการผลักดันผลการดำเนินให้กับบริษัทฯ ด้วย” นายชูเดช กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ จะเป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์, กลุ่มผู้ผลิตอาหาร และกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นหลัก ซึ่งลูกค้าหลักของบริษัทฯ ยังคงถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์ขาขึ้นทั้งหมด

โดยตลาดหลักๆ ที่บริษัทฯ ให้บริการยังคงเป็นประเทศในเอเชีย และอเมริกา เป็นหลัก ซึ่งในปัจจุบันทั้งตลาดอเมริกา และตลาดเอเชีย อย่างจีนที่เป็นตลาดหลัก เริ่มมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็น่าจะส่งผลให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมมีการกระเตื้องขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงมีการศึกษาลงทุนขยายธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างรายได้จากหลากหลายช่องทาง สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับบริษัทฯ โดยกลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ มีความสนใจในธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกัน เพื่อจะขยายเครือข่ายให้กว้างขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถขยายไปยังตลาดใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้นด้วย

การเงิน-หุ้น

“กรุงไทย” จับมือ “NatureWorks” ประกาศดีลประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพตามแนวทาง BCG  สนับสนุนเงินลงทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ วงเงิน 12,600 ล้านบาท

“NatureWorks” ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ประเภทพอลิแลกติกแอซิด ซิด (Polylactic Acid หรือ PLA)ชั้นนําของโลกที่ผลิตจากทรัพยากรหมุนเวียน  และธนาคารกรุงไทย  ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนเงินลงทุนโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ PLA ภายใต้แบรนด์   “Ingeo™️” แบบครบวงจรแห่งใหม่ในประเทศไทย

มูลค่ากว่า 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า 12,600 ล้านบาท นับเป็นหนึ่งในสินเชื่อเงินกู้ที่มีผู้ให้กู้รายเดียว (Bilateral loan) ที่ใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษของวงการธนาคาร สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กร ในการผลักดันเศรษฐกิจชีวภาพตามแนวคิด BCG ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน

นายอิริค ริพเพิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ NatureWorks เปิดเผยว่า การสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทยครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนกลยุทธ์ของ NatureWorks ในการรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจชีวภาพระดับสากล โดยโรงงานแห่งที่ 2

ในประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตเพื่อมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และผลักดันไปสู่การขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับเศรษฐกิจชีวภาพและความต้องการผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพสำหรับใช้เป็นบรรจุภัณฑ์และเส้นใยทั่วโลก

ทั้งนี้ โรงงานของ NatureWorks แห่งที่ 2 นี้ ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นไบโอคอมเพล็กซ์แห่งแรกในประเทศไทยที่ก่อตั้งขึ้นตามแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านวัตถุดิบทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์และหาได้ในท้องถิ่น

ได้แก่ อ้อย โดย NatureWorks พิจารณาเลือกสถานที่ก่อสร้างโครงการจากปัจจัยด้านทำเลที่ตั้งที่ใกล้กับที่ปลูกอ้อย และมีโครงสร้างพื้นฐานในการแปรรูปอ้อยเป็นน้ำตาลสำหรับใช้ในกระบวนการผลิต ตลอดจนพิจารณาถึงความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคในการดำเนินการผลิต

นายสุรธันว์ คงทน ประธานผู้บริหาร Wholesale Banking ธนาคารกรุงไทย  เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ มุ่งมั่นขับเคลื่อน “นวัตกรรมสร้างคุณค่า ตอบโจทย์ลูกค้า สู่ความยั่งยืน” เล็งเห็นถึงศักยภาพของ NatureWorks ในการเป็นผู้นำในธุรกิจพลาสติกชีวภาพ ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ

ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Model หรือ Bio-Circular-Green Economy) ของประเทศไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของประเทศ เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยธนาคารพร้อมให้การสนับสนุน NatureWorks ก่อสร้างโรงงานและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

“ประเทศไทยเป็นผู้นำทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งธนาคารกรุงไทยมีบทบาทร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ การสนับสนุนเงินลงทุนแก่ NatureWorks ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำระดับโลกในการผลิตวัสดุชีวภาพผลิตพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ประเภทพอลิแลกติกแอซิด ซิด (Polylactic Acid หรือ PLA) จากทรัพยากรหมุนเวียน

นับเป็นดีลใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของธนาคารในการการขับเคลื่อนโมเดล BCG ในประเทศไทย  สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของธนาคาร ที่มุ่งเน้นการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และผลักดันกิจกรรมต่างๆ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบสีเขียว สอดคล้องกับการดำเนินงานของธนาคาร

ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ  ทั้งในด้านการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน โดยโครงการนี้ช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มมูลค่าให้กับแก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยที่อยู่ในพื้นที่นครสวรรค์อีกด้วย”

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานคณะกรรมการเนเชอร์เวิร์คส์ และซีอีโอ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ NatureWorks  Cargill และ GC เนื่องจากเป็นการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ร่วมกันทุกฝ่าย

ในการเป็นผู้นำด้านเคมีชีวภาพ และวัสดุชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกด้วยการสนับสนุนด้านเงินลงทุนในการก่อสร้างโรงงาน PLA แห่งที่ 2 ในประเทศไทย  ทำให้ NatureWorks สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขัน

และมีความพร้อมในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ และวัสดุชีวภาพขั้นสูง รวมถึงมีกำลังการผลิตที่เพียงพอสำหรับตอบสนองความต้องการของตลาดและลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีการเติบโตสูง

โรงงานแห่งใหม่นี้ได้รับการออกแบบให้เป็นโรงงานผลิต PLA แบบครบวงจร ที่ผลิตตั้งแต่กรดแลคติค แลคไทด์ และ PLA ด้วยกำลังการผลิตพลาสติกชีวภาพ ภายใต้แบรนด์  Ingeo™️ จำนวน 75,000 ตันต่อปี สามารถผลิต Ingeo™️ ได้หลากหลายเกรด

เพื่อตอบสนองการเติบโตของตลาดพลาสติกชีวภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกสำหรับการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นใยสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ สิ่งทอประเภท nonwovens แคปซูลกาแฟที่ย่อยสลายได้ ถุงชา บรรจุภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่น(Flexible packaging)

และบรรจุภัณฑ์อาหารที่ย่อยสลายเองได้ พลาสติกชีวภาพ Ingeo™️ ที่ผลิตในโรงงานแห่งนี้จะผลิตจากอ้อยที่ได้จากไร่การเกษตรในรัศมี 50 กิโลเมตรในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งความคืบหน้าของโครงการและการก่อสร้างในปัจจุบันได้ดำเนินลุล่วงตามแผน พร้อมดำเนินการผลิตอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2568

การเงิน-หุ้น

พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดย ทีเอ็มบีธนชาต ต้อนรับคณะเยาวชนจาก 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อศึกษาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านคุณความดีขององค์ครุฑ

พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดย ทีเอ็มบีธนชาต ร่วมกับ กองทัพบก นำโดยคณะผู้บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต และ พันเอก วาริส ทรวงโพธิ์ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการจิตวิทยา สำนักจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือนทหารบก พร้อมด้วย ผู้แทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรปราการ ต้อนรับคณะเยาวชนจากกรมกิจการพลเรือนทหารบกจาก 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ (กองทัพภาคที่ 1-4) จำนวนกว่า 140 คน

ที่เดินทางเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ครุฑ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวในอาเซียนที่รวบรวมจัดแสดงองค์ครุฑพระราชทาน อันเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ และมรดกทางศิลปะวัฒนธรรมไทย เพื่อปลูกฝังเยาวชนให้ยึดถือพญาครุฑเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต เนื่องจากพญาครุฑ เป็นสัญลักษณ์แห่งความกตัญญู ความซื่อสัตย์ และความดีงาม ซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของสังคมไทย 

สำหรับหมู่คณะที่สนใจท่องเที่ยวและเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ “พิพิธภัณฑ์ครุฑ” สามารถลงทะเบียนผ่าน  https://www.ttbfoundation.org/th/garudamuseum/ โดยจะเปิดให้เข้าชม ทุกวันศุกร์-เสาร์ วันละ 3 รอบ ในเวลา 10:00 / 13:00 / 15:00 น. พร้อมผู้นำชม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือติดตามกิจกรรมดี ๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.ttbfoundation.org

การเงิน-หุ้น, ธุรกิจ

ALPHAX โตสนั่น! โชว์งบ Q1/67 กำไรพุ่ง 650% All Time High ลุยธุรกิจพลังงานเต็มสปีด ดันรายได้อนาคตโตก้าวกระโดด

บมจ.อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ (ALPHAX) เปิดงบไตรมาส 1/2567 สุดอลังการ! ทำกำไรพุ่งขึ้น 650% ทุบสถิติ All Time High ฟากซีอีโอหนุ่ม “ธีร ชุติวราภรณ์” ระบุลุยธุรกิจพลังงานเต็มสปีด และศึกษาแผนลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจพลังงานน้ำที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างผลตอบแทนผลักดันอนาคตเติบโตก้าวกระโดด 

นายธีร ชุติวราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลฟ่า ดิวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALPHAX เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 (สิ้นสุด 31 มีนาคม 2567)  กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 196.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 214% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

และมีกำไร เพิ่มขึ้น 650% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สาเหตุหลักการเพิ่มขึ้นของกำไร มาจากการเข้าทำรายการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยการซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท น้ำฮุง 1 ไฮโดรพาวเวอร์ จำกัด (NH1) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานน้ำใน สปป.ลาว

สำหรับแนวโน้มต่อจากนี้ หลังเขื่อนแรกทำกำไรกระฉูด และสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี ซีอีโอเผยบริษัทฯ จะเดินหน้าเต็มสปีดลุยธุรกิจพลังงานเต็มตัว

และกำลังศึกษาเพื่อการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจพลังงานน้ำที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคตให้เติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างที่โชว์ในไตรมาส 1/2567 อย่างนี้บอกได้เลยว่า ALPHAX จะโตวันโตคืน โตกระฉูดแน่นอน!!!!

การเงิน-หุ้น, ธุรกิจ

KTIS เผยไตรมาส 2 ปี 67 มีกำไรสุทธิ 295.2 ล้านบาท หวังบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยหนุนช่วงที่เหลือของปี หลังเซ็นเอ็มโอยูกับกลุ่ม Matrix Pack ผู้นำระดับโลก

กลุ่ม KTIS เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2567 (ม.ค. – มี.ค. 2567) สามารถทำกำไรสุทธิได้ 295.2 ล้านบาท โดยสายธุรกิจที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ สายธุรกิจเยื่อกระดาษจากชานอ้อย เพิ่มขึ้น 41.2% และสายธุรกิจเอทานอลเพิ่มขึ้น 7.1% พร้อมรุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมและหลอดจากเยื่อชานอ้อย 100% เต็มสูบ

หลังลงนามความร่วมมือเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ กับกลุ่ม Matrix Pack ผู้นำระดับโลกในด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และหลอดที่ผลิตจากเยื่อธรรมชาติ  ในการนำบรรจุภัณฑ์และหลอดที่ผลิตจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ของบริษัทในกลุ่ม KTIS คือ EPAC ออกสู่ตลาดโลก เผยระดับความร่วมมือเริ่มตั้งแต่การการันตีซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ไปจนถึงการร่วมลงทุนในโครงการใหม่ๆ

นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานในรอบไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 (มกราคม-มีนาคม 2567) โดยมีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 5,206.6 ล้านบาท

และมีกำไรสุทธิ 295.2 ล้านบาท โดยรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษจากชานอ้อยเพิ่มขึ้น 41.2% เนื่องจากปริมาณการขายเยื่อกระดาษจากชานอ้อยในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น และรายได้จากธุรกิจเอทานอลเพิ่มขึ้น 7.1% จากทั้งปริมาณการขายเอทานอล และราคาขายเฉลี่ยต่อลิตรเพิ่มขึ้น

นายประพันธ์กล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเสริมรายได้และกำไรให้กับบริษัทในช่วงที่เหลือของปีอย่างชัดเจนก็คือ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขึ้นรูปจากเยื่อชานอ้อย ภายใต้บริษัทในกลุ่ม KTIS คือ บริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ แพคเกจจิ้ง จำกัด (EPAC) 

ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในกรอบความร่วมมือ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจแก่ทั้งสองฝ่าย ระหว่าง EPAC กับ Matrix Pack Group ผู้นำระดับโลกในด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์และหลอดชานอ้อยสำหรับอาหารและเครื่องดื่มที่ทำมาจากเยื่อธรรมชาติ

ทั้งนี้ ความร่วมมือหลักๆ ในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทางกลุ่ม Matrix Pack จะสนับสนุนด้านการตลาด ซึ่งมีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้วในยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น อีกทั้งจะสร้างโอกาสทางการตลาดเพิ่มเติมในเอเชีย และเอเชียแปซิฟิก

“การที่ Matrix Pack Group ซึ่งเป็นผู้ค้ารายใหญ่ระดับโลกในธุรกิจบรรจุภัณฑ์และหลอดกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้มาร่วมธุรกิจกับกลุ่ม KTIS ในครั้งนี้ จะช่วยให้เรารุกตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยได้อย่างเต็มที่ ด้วยกำลังการผลิตของโรงงาน EPAC ที่สูงถึง 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน

โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นจาน ชาม กล่อง หรือถาดหลุม ซึ่งผลิตจากเยื่อชานอ้อย 100% ปลอดภัยกับผู้บริโภคและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ภายใน 30-45 วัน” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์กล่าวด้วยว่า มั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมนี้จะได้รับการตอบรับจากตลาดโลกเป็นอย่างดี เพราะสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก โดยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช้คลอรีนในการฟอกสีเยื่อกระดาษ ทำให้ได้เยื่อกระดาษชานอ้อยบริสุทธิ์ ปลอดภัยในการใช้บรรจุอาหารไม่ว่าจะร้อนจัด หรือเย็นจัด ก็สามารถใช้ได้ อีกทั้งก่อนที่จะส่งถึงมือผู้บริโภค ยังได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV อีกด้วย

นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ชานอ้อยของกลุ่ม KTIS นั้น ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น สามารถใส่น้ำโดยไม่รั่วซึม สามารถนำเข้าเตาอบและเตาไมโครเวฟได้ ไม่มีสารปนเปื้อนก่อมะเร็ง ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ภายใน 45 วัน โดยได้รับใบรับรองมาตรฐานระดับโลกด้านการย่อยสลายของผลิตภัณฑ์

(Products made of compostable materials for industrial composting Clamshell and Plate) และอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยบริษัทผู้ตรวจสอบชั้นนำของประเทศไทย ในการรับรองระบบมาตรฐานโรงงานด้านความปลอดภัยของอาหาร ด้านการผลิต Food Packaging เช่น FSSC 22000, ISO 22000, GHPs/HACCP เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

การเงิน-หุ้น

CIMBT จับมือ SCA เฟ้นหานักร้องตัวแทนประเทศไทย ร่วมแข่งขันประกวดร้องเพลงใน “CIMB RISING START”เวทีประกวดร้องเพลงระดับอาเซียน

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ร่วมกับ Superstar College of Arts หรือ SCA วิทยาลัยดนตรีและศิลปะการแสดง ร่วมเฟ้นหานักร้องตัวแทนจากประเทศไทย ไปแข่งขันการประกวดร้องเพลง “CIMB RISING START” เวทีการประกวดร้องเพลงระดับภูมิภาคอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย

ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 250,000 บาท ผู้สนใจ ที่มีอายุระหว่าง 12 – 40 ปี และสัญชาติไทย สามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันได้ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. – 15 มิ.ย. 67 โดยลงทะเบียนที่ https://forms.gle/wD7c9Q7MgaXXPTHY7 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  Facebook : SCA Superstar Academy  หรือโทร 080-415-9999

ณัฐณี เกษมรัฐกุลผู้อำนวยการอาวุโส สื่อสารองค์กร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ”ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ขอร่วมต่อเติมในทุกความฝันและสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคน ด้วยจัดการประกวดร้องเพลง ค้นหานักร้องที่เป็นจากตัวแทนประเทศไทยไปร่วมแข่งขันเวที 

“CIMB RISING START” จัดขึ้นโดยธนาคาร ซีไอเอ็มบี นีอากา อินโดนีเซีย ซึ่งปีนี้นับเป็นปีแรกที่เปิดโอกาสให้มีการรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจากหลากหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน อาทิ ประเทศไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์  ฯลฯ

ปี 2567 นี้ นับเป็นความภูมิใจที่ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ได้เข้าร่วมจัดการแข่งขันนี้ขึ้นในประเทศไทย พร้อมกับเป็นโอกาสในการร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบ 15 ปีแห่งการเติบโตของธนาคาร  ซึ่งเรามีปณิธานที่มุ่งมั่นจะก้าวสู่การเป็นธนาคารที่ ‘ใช่’ ของทุกคน

และเติบโตธุรกิจบนความเอาใจใส่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมนี้ นับว่าเป็นการร่วมสานฝันของผู้เข้าประกวดทุกคน ให้ได้เติมเต็มประสบการณ์และเติบโตไปพร้อมกับธนาคาร ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญต่อไป”

ธนภูมิ เกียรติสงคราม ประธานผู้บริหาร CEO (Chief Executive Officer) วิทยาลัยดนตรีและศิลปะการแสดง SCA Superstar College of Arts เผยว่า“ทาง Superstar College of Arts รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมกับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จัดการประกวดนี้ขึ้นมาทำให้มีเวทีสำหรับคนไทยที่มีความสามารรถด้านการร้องเพลงไปประกวดเวทีระดับอาเซียน

โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ 2 คนจะได้รับการติวเข้มโดยอาจารย์ที่มีประสบการณ์ในวงการบันเทิงของ SCA ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนดาราและศิลปินชั้นนำในวงการบันเทิงไทยมาแล้วกว่า 15 ปี ทาง SCA พร้อมสนับสนุน และผลักดันอย่างเต็มที่”

สำหรับการประกวด ผู้สนใจที่มีอายุระหว่าง 12 – 40 ปี และมีสัญชาติไทย สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่  15 พ.ค. – 15 มิ.ย. 67   ผ่านลิงค์ลงทะเบียนรับสมัคร ที่ FB:  SCA Superstar Academy  โดยผู้สมัครสามารถออดิชั่นโดยส่งคลิปหรือมาด้วยตนเองที่ SCA ในวันที่ 22 มิ.ย.67 จากนั้นผู้ผ่านเข้ารอบ 10 คน จะต้องมาร่วมแข่งขันร้องเพลงรอบตัดสิน ในวันที่ 29 มิ.ย.67

โดยผู้ชนะเลิศของประเทศไทยทั้ง 2 คน จะได้รับเงินรางวัลจากธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย คอร์สอบรมฟรีจาก SCA พร้อมแพ็กเกจการเดินทางฟรีตลอดทริปจาก CIMB เพื่อเปิดประสบการณ์ระดับอาเซียนในการเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดรอบสุดท้าย และร่วมถ่ายมิวสิควิดีโอร่วมกับตัวแทนจากประเทศอื่น ๆ ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย